Series Y กับสังคมไทยในทิศทางใหม่ จึงไม่ได้มีแค่เพียง... ผู้ชายรักกัน!!!
ซีรี่ส์วาย สร้างชาติ! เมื่อไทยแลนด์ ถูกผลักดันด้วย Series Y สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้มีแค่เพียง... ผู้ชายรักกัน!!!
กระแสของซีรี่ส์วาย หรือแนวBL (Boy love Series) ในประเทศไทย ที่โด่งดังข้ามประเทศอย่างมากมายในช่วงเวลานี้
นับตั้งแต่ "เพราะเราคู่กัน" หรือ "คั่นกู"
จนทำให้สองหนุ่มนักแสดงหลักอย่าง "ไบร์ท" และ "วิน" โด่งดังอย่างมากระดับอินเตอร์ จนแม้แต่ต้นตำหรับอย่างญี่ปุ่นที่เป็นผู้นิยามคำว่า Y หรือ Yaoi ก็ยังต้องมาซื้อลิขสิทธิ์ไปผลิตเป็น Manga
หรือแม้กระทั่งแม่จีนก็แหกVPNเพื่อมาติดตามผลงานการแสดงของทั้งคู่แม้จะผิดกฎหมายของจีนก็ตาม จนส่งผลให้กระแสนี้ถูกจับตามองมาเรื่อยๆ
แน่นอนว่านายทุนเองก็ทราบถึงกระแสนี้ จึงเร่งผลิตผลงานเพื่อตอบรับกระแสอย่างทันที จากที่เคยมีเพียงผู้ชมในวงแคบๆ ก็กลายเป็นว่าทุกวันนี้ "กระแสซีรี่ส์วาย" แม้แต่คนที่ไม่เคยดูหรือไม่ชอบก็คงปฎิเสธไม่ได้เลยว่า แม้จะไม่ดูซีรี่ส์ แต่ก็จะเห็นนักแสดงตามสื่อโฆษณาต่าง ๆ หรือได้ยินเนื้อหาหรือภาพสื่อผ่านตากันมาบ้าง...
หากลองวิเคราะห์ดูแล้ว น่าจะเป็นผลที่เกิดจากทิศทางและการเสพสื่อทางด้านโทรทัศน์ของผู้คนเปลี่ยนไป ด้วยเนื้อหาละครไทยที่ไม่สามารถดึงใจผู้ชมให้สนใจติดตามหน้าจอโทรทัศน์ได้อีกต่อไป อีกทั้งสังคมไทยที่มีความเปิดกว้าง การยอมรับในเพศสภาพของผูคนที่เป็น LGBTQ+ โดยทุกวันนี้ก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อยๆ
แรกเริ่มนั้น ซีรี่ส์วายไทย เป็นกระแสในเฉพาะกลุ่มมากๆ โดยมักจะเรียกกลุ่มนี้ว่า "สาววาย" คือกลุ่มผู้หญิงที่สนใจและชื่นชอบตัวละคร หรือตัวการ์ตูนที่เป็นผู้ชายแต่ถูกดำเนินรื่องให้พวกเค้ารักกันเอง ซึ่งช่วงแรกนั้น สาววายเองก็มักจะบอกย้ำๆว่า นี่เป็นความรักในแบบเฉพาะคือ "ผู้ชายรักกัน ไม่ใช่เกย์" อย่างเต็มปาก
แต่แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้ นิยามนี้ก็คงไม่ถูกใจชาวเกย์ เพราะการที่ผู้ชายรักกันก็คือเกย์100% แต่การถูกผลักดันให้ซีรี่ส์วายไม่ใช่เกย์ ซึ่งก็เหมือนกับว่าไปกีดกันชาวเกย์ให้ไปอยู่อีกโลกนึงที่ไม่เกี่ยวข้อง...
แต่การเปิดรับ LGBTQ+ ก็เป็นสิ่งที่เข้าไปชี้ชัดยิ่งขึ้นว่า ในความเป็นจริงนั้น นิยายวาย ตามแบบที่สาววายเข้าใจและนิยามในครั้งแรกนั้น มันแยกจากความเป็นเกย์ไม่ออกเลย
จนทุกวันนี้ ในตัวของซีรี่ส์เองก็พยายามสื่อตรงๆเลยว่า ตัวละครของพวกเค้านั้นก็คือเกย์ หาได้เป็นอื่นใดนั่นเอง เพียงแต่การที่พวกเค้ามีเพื่อนเป็นผู้ชาย ทำกิจกรรมต่างแบบผู้ชายแมนๆปกติเค้าทำกัน ไม่ได้อยากออกสาวแต่งตัวเป็นผู้หญิง นั่นก็คือบุคลิกภาพภายนอกของเค้าที่แสดงออกอย่างนั้นจริงๆ ความรักและรสนิยมที่จะชอบเพศเดียวกันมันเป็นเพียงส่วนนึงที่ทำให้สาววายเข้าใจแล้วว่า เกย์ก็คือผู้ชายรักกัน แบบเดียวกับที่นิยายและซีรี่ส์ที่เคยมีมาก่อนหน้าสื่อถึงเอาไว้นั่นเอง...
ในวันนี้...เมื่อสังคมเริ่มยอมรับ ซีรี่ส์วาย เข้าสู่จอแก้วอย่างเต็มตัว.... ความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมก็ขยับขึ้นมาอีกขั้น
นับตั้งแต่.... ช่องGMM25 ที่ออกตัวอย่างชัดเจนว่า จะผลิตซีรี่ส์วายอย่างเต็มตัว กลายเป็นช่องโทรทัศน์แรกๆที่มีความชัดเจนว่า ละครหรือซีรี่ส์ไม่จำเป็นต้องปิดซ่อนกันแล้วว่าจะนำเสนอเพศไหน...
แม้แต่การโปรโมทหรือนำเสนอนักแสดง นักแสดงหนุ่มหล่อมากมายของช่องที่เริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงในซีรี่ส์วาย ก็โด่งดังแซงนักแสดงช่องหลักอย่างช่อง3 ช่อง7 เหล่าลูกค้าสปอนเซอร์ต่างๆก็ดึงตัวมาถ่ายงานถ่ายโฆษณาอย่างชัดเจน รวมถึงการออกงานโชว์ตัวต่างๆก็สร้างรายได้หลักเข้าบริษัทอย่างเต็มที่ จนความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนมากว่า ช่องGMM25 มีจุดขายตรงที่นักแสดงและซีรี่ส์วาย โดยป้อนผลงานออกมาเรื่อยๆ
อย่างปีก่อนและต้นปีนี้... ผลงานที่ออกมาแล้วโดดเด่นและเป็นตัวเปลี่ยนแปลงทิศทางของซีรี่ส์วาย เช่น "แปลรักฉันด้วยใจเธอ"
และตามมาด้วย "นิทานพันดาว" ที่ไม่ได้มีจุดขายที่ฉาก NC หรือ Love scene พร่ำเพรื่ออย่างขนบเดิมของซีรี่ส์วายที่เดิมเคยใช้เป็นจุดขายมาก่อน แต่กลับเน้นที่เนื้อหาที่สะท้อนตัวตนและสังคมมากขึ้น
นั่นถึงกับทำให้โลกนี้ได้เปิดตัวกับ "Fan boy" คือผู้ชมที่เป็นทั้งชายแท้หรือเหล่าเกย์ที่หันมาสนใจซีรี่ส์วายอย่างเปิดเผยและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เคียงคู่กับ "สาววาย" ได้อย่างไม่เคอะเขิน
ยกตัวอย่างเช่น "แปลรักฉันด้วยใจเธอ"
เนื้อหากล่าวถึง เด็กชายสองคนที่กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยมีพื้นหลังเป็นฉากโซนเมืองเก่าในจังหวัดภูเก็ต
เป็นหนึ่งในซีรี่ส์วายที่แหวกขนบออกมาอย่างสิ้นเชิงด้วยการนำเสนอมุมมองของนักเรียนมัธยมกับการสอบพร้อมกับการค้นหาตัวตนของตัวเองว่าจะรักเพศไหนกันแน่ บวกกับภาพความสวยงามและวัฒนธรรมของเมืองภูเก็ตที่ไม่เคยปรากฎต่อสายตานักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ
ถึงกับว่า บางคนขอไปตามรอยซีรี่ส์สักหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้ภูเก็ตยังเป็นที่สนใจและคงเป็นเป้าหมายหลักของต่างชาติด้วยหลังจากที่โควิดสถานการณ์ดีขึ้นในปีหน้า...
"นิทานพันดาว" ซีรี่ส์วายที่มาจากนิยายออนไลน์ สู่ปรากฎการณ์ผู้ชมทั่วโลกที่หลงรักซีรี่ส์วายไทยอย่างมหาศาลอีกเรื่อง
โดยเนื้อหากล่าวถึงชีวิตของครูอาสาหนุ่มที่ขึ้นดอยแล้วไปพบรักกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งมีเบื้องหลังเป็นภาพของวิถีชีวิตของชาวเขา วัฒนธรรม และพื้นที่ป่าของภาคเหนือที่สวยงาม จนเกิดกระแสตามรอยซีรี่ส์ขึ้นไปชมสถานที่ถ่ายทำ จากที่มีคนรู้จักกันไม่มาก ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่นำรายได้มาสู่ชุมชนอีกทาง
แต่มากกว่านั้นคือซีรี่ส์ได้สะท้อนปัญหาต่างๆของสังคม เช่น ความเหลื่อมล้ำ โอกาสทางการศึกษา การคอรัปชั่น ฯลฯ ซึ่งทำให้ซีรี่ส์เองไม่ได้เป็นแค่การนำเสนอความบันเทิงเพื่อประโลมโลก แต่กลับแทรกเอาปัญหาต่างๆนั้นให้คนดูได้ตระหนักไว้อีกด้วย
..............................
แน่นอนแหล่ะว่า ช่องนึงประสบความสำเร็จมาก ช่องอื่นก็คงไม่พ้นต้องตามกระแสด้วย ไม่งั้นก็คงอยู่ไม่รอด...
ช่อง3 ก็เปิดตัวซีรีส์วาย เรื่องแรกด้วย "นับสิบจะจูบ" ที่กำลังออกอากาศในขณะนี้
การเปิดตัวบริษัทพร้อมโปรเจคซีรี่ส์วายที่แหวกขบนอีกเรื่องของบริษัทFilmania เรื่อง "Kinn Porsche Story รักโคตรร้าย สุดท้ายโคตรรัก" ที่หลุดไปจากฉากเด็กมหาวิทยาลัยไปสู่ซีรี่ส์วายสายโหดที่มาแนวมาเฟียและฉากแอคชั่นแนวภาพยนตร์ ที่เปิดตัวเพียงตัวอย่างก็เกิดกระแสกล่าวถึงอย่างมากมายในโลกออนไลน์
การที่ประเทศไทยมีชื่อเสียงเรื่องการสร้างซีรี่ส์วายแล้วมีกระแสตอบรับที่ดีขนาดนี้ จนมีฐานแฟนคลับจากต่างชาติมานิยามให้เลยว่า "เกาหลีใต้สร้าง(ความนิยม)ชาติด้วย Kpop ไทยก็สร้าง(ความนิยม)ชาติด้วยซีรี่ส์วาย ได้เช่นกัน" นับเป็นโอกาสที่ดีที่ไทยจะก้าวเท้าไปอีกข้ั้นในการชิงพื้นที่สื่อในสังคมโลก
นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว การครองสื่อด้านการผลิตซีรี่ส์ ภาพยนตร์ และละคร หากไม่ติดว่ามีวิกฤติโควิด ไทยย่อมเป็นจุดมุ่งหมายแรกๆที่ทีมสร้างต่างๆจะเลือกใช้เป็นโลเคชั่นหลัก อันนำเงินเข้าสู่ประเทศได้อีกทางนึง
โอกาสแบบนี้ถ้ารัฐบาลไทยเห็นและส่งเสริมอย่างเต็มตัวไปอีก ก็คงจะทำให้ไทยเป็นผู้นำโลกในแบบที่คนไทยสามารถยืดอกและภูมิใจกับฝีมือของตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ
แถม....
และแหวกแนวแต่ก็ยังไม่แตกต่างกับซีรีส์ที่มาในแนวภาคอีสานชัดเจน