“ประเพณีบุญบั้งไฟกับความเชื่อของชาวอีสาน”
บุญบั้งไฟได้มีวิวัฒนาการมาจากการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยการบูชาไฟ ด้วยดอกไม้ไฟมาเป็นการทำบุญบั้งไฟเพื่อขอฝน การจุดบั้งไฟถือเป็นการเชื่อมโยงคติความเชื่อทางศาสนาและความเชื่อในเรื่องธรรมชาติ โดยมีเป้าหมายหลักคือการส่งสัญญาณให้เทพที่ดูแลเกี่ยวกับน้ำฝน รับทราบว่านับแต่บัดนี้ไป มนุษย์โลกต้องการน้ำเพื่อการเพาะปลูกแล้วขอให้เทพที่มีบทบาทหน้าที่ในการดูแลฟ้าฝนรับทราบและประทานฝนมาให้
งานบุญบั้งไฟได้สะท้อนให้เห็นปรัชญา ภูมิปัญญาและภูมิความดีอยู่หลายประการ เป็นต้นว่าได้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำรงชีพของคนในท้องถิ่นที่ผูกพันอยู่กับการทำนาข้าวน้ำฝนซึ่งต้องอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก
ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็มีความเชื่อว่ามีสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติสามารถบันดาลให้ธรรมชาติเป็นไปตามที่ต้องการได้ ดังนั้นเมื่อถึงฤดูการทำนา
จึงทำบั้งไฟไปจุดเพื่อบอกให้พญาแถนรับรู้ เพื่อพญาแถนจะบันดาลให้ฝนตกลงมาให้มีน้ำทำนาต่อไป นอกจากนี้ยังได้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการสร้างสัมพันธไมตรีต่อกันของคนในสังคมที่อยู่รอบข้าง โดยมีการบอกบุญไปยังหมู่บ้านข้างเคียง เพื่อให้นำบั้งไฟมาร่วมและวิธีการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในหมู่บ้าน โดยมีงานบุญบั้งไฟเป็นสื่อกลาง
บั้งไฟปกติจะมี ๓ ขนาด คือ บั้งไฟธรรมดา จะใช้ดินประสิวไม่เกิน ๒๓
กิโลกรัม บั้งไฟหมื่น จะใช้ดินประสิว ๒๓ กิโลกรัม บั้งไฟแสนจะใช้ดินประสิว ๒๓๐ กิโลกรัม เมื่อทำบั้งไฟเสร็จแล้วก็จะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยกระดาษสีอย่างสวยงาม ซึ่งเรียกเป็นภาษาพื้นบ้านว่า “เอ้” ส่วนท่อนหัวและท่อนหางของบั้งไฟจะประกอบเป็นรูปต่างๆ ตามที่ต้องการส่วนมากจะเป็นรูปหัวพญานาค
เมื่อประดับประดา หรือ เอ้ เรียบร้อยแล้วขั้นต่อไปคือการแห่
ไปสมทบกับหมู่บ้านที่เป็นเจ้าภาพ โดยปกติบั้งไปไม่ได้ทำเฉพาะหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งเท่านั้น จะบอกบุญไปยังหมู่บ้านที่มีสายสัมพันธ์ต่อกัน และหมู่บ้านนั้นจะทำบั้งไฟมาร่วมด้วย เมื่อถึงเวลานัดหมายประมาณ ๔-๕ โมงเย็น ทุกขบวนทั้งหมู่บ้านที่เป็นเจ้าภาพและหมู่บ้านแขกจะแห่บั้งไฟเข้าไปบริเวณวัด ขบวนแห่งบั้งไฟถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคี ศิลปวัฒนธรรม ความสนุกสนาน และความดีงามทั้งหลาย ในขบวนแห่จะมีการเซิ้งบั้งไฟและการละเล่นต่างๆ ที่แสดงถึงวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น เช่นการทอดแหหาปลา การสักสุ่ม บางขบวนก็จะมีการเล่นตลกในเชิงเพศสัมพันธ์ แต่ขบวนเซิ้งหลักจะแต่งตัวสวยงามแบบโบราณใส่กระโจมหัว เซิ้งเป็นกาพย์ให้คติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา
มีความไพเราะและมีคติธรรมสอนใจ ถึงแม้จะมีการละเล่นตลกและบทเซิ้งสืบไปในทางเพศสัมพันธ์อยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สร้างสีสันให้กับขบวนแห่ได้เป็นอย่างดี ไม่ถือสาหาความกันแต่อย่างใด ส่วนหมู่บ้านอื่นที่มากับบั้งไฟก็จะได้รับการดูแลต้อนรับจากหมู่บ้านเจ้าภาพเป็นอย่างดี โดยหมู่บ้านเจ้าภาพจะเตรียมข้าวปลาอาหารที่สำคัญคือ ข้าวปุ้น (ขนมจีน) น้ำยาปลาย่าง (ปลากรอบ) พร้อมสุรายาสูบ(ยาเส้นมวนใบตองกล้วยแห้ง) ซึ่งจะแบ่งเป็นกลุ่มหรือเป็นคุ้มว่าคุ้มใดสำหรับดูแลหมู่บ้านใด
โดยปกติ บุญบั้งไฟจะจัดเพียงสองวัน คือวันรวม ซึ่งเรียกว่าวันโฮม เป็นวันแห่ขบวนบั้งไฟไปรวมกันและวันจุด คือวันรุ่งขึ้นของวันโฮม พอถึงวันรุ่งขึ้นชาวบ้านที่เป็นเจ้าภาพทั้งชายหญิงจะแต่งตัวสวยงามตามประเพณี
ท้องถิ่น ผู้ชายจะใส่ ผ้าโสร่งไหม ผู้หญิงจะใส่ผ้าซิ่น (สิ่น)ไหม นำอาหารคาวหวานที่ดีที่สุดที่นิยมกันในแต่ละท้องถิ่น พร้อมเครื่องไทยทานอื่นๆ ไปถวายพระที่วัด หลังจากพระฉันเสร็จจะให้พร จากนั้นชาวบ้านที่มาร่วมทำบุญจะรับประทานอาหารต่อจากพระ เกือบทุกคนรวมทั้งแขกจากบ้านอื่นบางคนก็จะมารับประทานอาหารที่วัดร่วมด้วย เมื่อทุกอย่างที่วัดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะนำบั้งไฟไปที่ลานจุดซึ่งทำเป็นร้านหรือค้าง(ฮ้าน) บนต้นไม้สูงประมาณ ๓๐ เมตร เพื่อให้หางบั้งไฟพ้นจากพื้น จากนั้นจะมีการจุดบั้งไฟตามลำดับที่จับฉลากได้ เมื่อบั้งไฟทุกบั้งจุดหมดก็จะถือว่าเป็นการจบสิ้นของงานบุญบั้งไฟปีนั้น
อ้างอิงจาก: วารินชำราบบ้านเฮา อุบลราชธานี