ตำนานผีหลังกลวงแห่งปักษ์ใต้
ขอย้อนรอยถอยหลังเข้าสู่อดีตกาล ในเส้นทางมหาโหดของผีหลังกลวง
เมื่อถึงปลายเดือนมีนาคม ทะเลฝั่งตะวันออกเริ่มย่างเข้าฤดูแล้ง ในลำห้วย หนอง คลอง บึงตลอดถึงสายธารต่างๆ น้ำก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ จำพวกกุ้ง หอย ปูปลาที่อยู่กระจายเมื่อครั้งน้ำมากๆ ก็เคลื่อนตัวลงสู่ที่น้ำลึกๆ อยู่รวมกัน พอจะได้หากินประทังชีวิตไปวันๆ กว่าจะถึงฤดูฝนตกชุกอีก
ข้าพเจ้า ส. ผู้เขียนจะพาท่านผู้อ่านให้มาพบกับกระต๊อบหลังหนึ่งในหมู่บ้านชนบท มีชายผู้หนึ่งได้มาจับจองที่ดิน เพื่อจะได้ทำมาหาเลี้ยงชีวิตที่ป่าแห่งนี้ ตั้งความหวังไว้ว่าจะถางป่าทำไร่ทำสวนกู้ฐานะของตัวเองให้เหมือนชาวบ้านคนอื่นเขา ก็พยายามขมักเขม้นกับงานทุกอย่าง การครองชีพแต่ละมื้อแต่ละวันก็พยายามดิ้นรนโดยไม่ต้องไปแลกไปซื้อจากพ่อค้า เพราะมีเงินเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เก็บหอมรอมริบไว้ใช้ต่อเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
กลับจากถางป่า เย็นวันนั้น เมื่อถึงกระต๊อบแล้ว ก็นั่งลับมีดพร้าเก็บไว้เพื่อจะลงถางป่าต่อวันพรุ่งนี้ เมื่อนั่งลับมีดพร้าอย่างเพลินๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า
เออ! ในสายห้วยใกล้ๆ ที่เราถางป่าอยู่นั้นมีปลาตัวโตๆ พอที่จะตกหรือทงได้บ้าง ไม่ต้องออกตลาดซื้อกับข้าว เพราะเป็นสายห้วยยาวไปรวมลำคลองตลอดแม่น้ำ
(จะขยายคำว่า "ทง" หรือ "ทงเบ็ด" หมายถึงใช้เบ็ดผูกเส้นด้ายยาวประมาณสักฟุตครึ่ง แล้วใช้เรียวไม้ไผ่เล็กๆ ยาวประมาณเมตรเศษๆ ดัดปลายให้โค้งอยู่ในระดับครึ่งวงกลม แล้วใช้เส้นด้ายที่ผูกติดด้วยเบ็ด ผูกปลายไม้เรียว ตอนหลังก็หาไส้เดือนที่อยู่ในดินเกี่ยวที่เบ็ด แล้วเอาไปปักให้จมน้ำในที่มีปลาอยู่ อย่างนี้เรียกว่า "ทงเบ็ด")
เมื่อเขาลับเครื่องมือถางป่าแล้วเขาก็กุลีกุจอออกจากกระต๊อบไปหาไส้เดือนทำเป็นเหยื่อ เพราะดวงตะวันใกล้จะตกดินอยู่แล้ว เมื่อเขาหาได้พอประมาณก็มืดลงพอดี เขาก็รีบกลับมารวบรวมเบ็ดที่เขาทำไว้เมื่อตอนเย็น แล้วรีบเดินดุ่มๆ ตรงไปที่ลำห้วย
ระยะทางห่างประมาณครึ่งกิโลกว่าๆ เมื่อถึงที่หมายก็สัก 3 ทุ่มโดยประมาณ ก็รีบเอาเบ็ดไปทงไว้ตามริมห้วย ก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เสร็จเรียบร้อย ก็กลับมาที่วางเครื่องที่เอามาประกอบในการจับปลา แล้วก็จัดการหากิ่งไม้ผุๆ มากองเป็นกองใหญ่พอประมาณ แล้วใช้เชื้อเพลิงที่นำติดตัวมา จุดเผาไม้ที่เอามาทำเหยื่อไฟ ในชั่วระยะเวลาไม่นานนัก ไฟก็เริ่มติดไม้ที่เขาเอามาสุมไว้ พอจะได้แก้ความหนาวเย็น ในยามที่เขานั่งรอเวลาที่จะไปดูเบ็ดที่ทงไว้ แต่ในสถานที่ที่เขานั่งอยู่นั้น ช่างเงียบวังเวงน่าเสียวไส้เหลือเกิน เพราะทั้งสองฝั่งริมห้วยมีไม้ต้นใหญ่ๆ ทั้งนั้น ทุกต้นต่างก็แตกกิ่งสาขาปกคลุมมืดครึ้มทั่วบริเวณ
เขานั่งผิงไฟอยู่สักชั่วโมงเศษๆ ก็ลุกขึ้นไปหยิบไฟฉายพร้อมตะข้องสำหรับใส่ปลา (ตะข้อง หรือ ข้อง เป็นคำเรียกของชาวบ้านชนบท) แล้วเดินไปดูเบ็ดในท่ามกลางความเงียบสงัด ดูจนตลอดหัวแถวท้ายแถว แต่แล้วก็คว้าน้ำเหลวไม่ได้สักตัวเดียวเลย เขาก็เดินบ่นมาคนเดียวพึมพำว่า
"แหม... น่าจะมากินเบ็ดเราบ้าง ปลาตั้งเยอะตั้งแยะเสียงดังอยู่ ตุ๊บตั๊บตูมตาม แต่ไม่กินเบ็ดเราเลยสักตัวเดียว" เดินพลางบ่นพลางจนมาถึงที่กองไฟ วางอุปกรณ์ทุกอย่างแล้ว ก็มานั่งผิงไฟเหมือนเดิม แล้วก็บ่นอีก
"ขอดูอีกสัก 2 เที่ยวจะมีปลาชะตาขาดมาติดเบ็ดบ้างไหม? ถ้าหากไม่ติดเลยสักตัวเดียว พรุ่งนี้เช้าเราจะมีอะไรกินก่อนออกตลาดซื้อกับข้าว"
เมื่อบ่นจบก็นั่งเงียบไปสักครู่ ก็ได้ยินเสียงดังซู่นานพอประมาณ แล้วเขาก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นเป็นดวงไฟยาวลงมาจากฟากฟ้าลงสู่พื้นดิน เสียงดังตุ๊บๆ 4 ครั้ง เพราะเป็นดวงไฟ 4 ดวง ลงแถวใกล้ๆ ที่เขาทงเบ็ดไว้ เมื่อเห็นอย่างนั้นเขามีความรู้สึกเย็นวูบเข้าในทรวง ขนลุกซู่ เขามีความรู้สึกอย่างไรไม่รู้ เขาอธิบายไม่ถูกกับอาการที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังแข็งใจไปดูเบ็ดที่เขาทงไว้ เมื่อดูจรดหัวท้ายแล้วก็พบแต่ความผิดหวังเหมือนเดิม เขาก็รู้สึกท้อแท้ในการกระทำของเขาแล้ว
แต่ก็ยังแข็งใจเดินกลับมาที่เดิมเพื่อดูอีกเที่ยว แต่พอเดินกลับมาไม่กี่ก้าว ก็เจอชายลึกลับคนหนึ่ง เขาเอ่ยถามขึ้นก่อนว่า
"คุณครับ คุณหาอะไรครับ?"
ชายลึกลับคนนั้นก็ตอบอย่างช้าๆ ว่า
"มาหาปลา ส่วนแกล่ะ มาหาอะไรดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้ ไม่กลัวผีบ้างหรือ?"
ชายชาวไร่ตอบว่า
"ผีอะไรที่ไหนกัน ถ้าหากมีผีจริง จะมาหลอกผี ผีตัวนั้นก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เพราะผมเองก็จนยิ่งกว่าผีอยู่แล้ว"
ชายประหลาดคนนั้นกล่าวขึ้นลอยๆ
"เออ ผีไม่มีก็ไม่มี ว่าแต่แกพักพิงอยู่ที่ไหน"
ชายชาวไร่ตอบว่า
"โน้น ที่เห็นกองไฟแดงๆ อยู่นั้นแหละ"
ชายประหลาดพูดขึ้นว่า
"ถ้างั้นข้าขอไปผิงไฟด้วย"
ชายชาวไร่ตอบทันควันว่า
"ได้"
เพราะตัวเองก็เหงาจะแย่อยู่แล้ว แล้วก็เดินคุยกันมาจนถึงกองไฟ แล้วต่างคนต่างก็ผิงไฟคุยกันเรื่อยเปื่อย เรื่องแล้วเรื่องอีก จนจำไม่ได้ว่าสักกี่เรื่อง อยู่ไม่นานนักชายชาวไร่ก็ได้ยินเสียงใบไม้แห้งดังแสกๆ ทางด้านหลังก็หันไปดู เห็นชายประหลาด 3 คนเดินตรงเข้ามาหาเขา เรียงเป็นหน้ากระดานเข้ามา ชายชาวไร่ก็ลุกขึ้นยืนด้วยความแปลกใจ แล้วเอ่ยถามว่า "คุณเข้ามาหาใคร?"
หนึ่งในชายประหลาดหรือชายแปลก 3 คนนั้นก็ตอบว่า
"มาขอผิงไฟด้วยคงไม่รังเกียจ"
ชายชาวไร่ตอบว่า
"ได้สิคร้าบ พอจะได้เป็นเพื่อนคุยกัน"
ชายสามคนนั้นก็เข้ามานั่งล้อมกองไฟเข้าด้วย รวมแล้วเป็น 5 คน แล้วก็ถามซึ่งกันและกันว่า "หาอะไร?" ทุกคนตอบตรงกันหมดว่า "มาหาปลา" ต่างคนต่างบอกว่า "ไม่ได้สักเกล็ดเลย อย่าว่าเป็นตัว แต่เกล็ดของมันก็ไม่เห็น" แล้วตกลงกันว่าคืนมะรืนนี้นั้นมาเจอกันที่นี่เหมือนเดิม พวกเราต้องพิชิตปลาในลำห้วยให้ได้ เมื่อพูดตกลงกันเรียบร้อย แล้วแยกย้ายกันไป
ชายชาวไร่มัวเก็บเครื่องมืออยู่ แต่ส่วนปากก็คุยไปเรื่อยๆ พอเก็บของขึ้นมาสะพายย่ามเสร็จ ก็หันหน้าไปที่กองไฟ แต่แล้วก็ไม่พบใครแม้แต่คนเดียว ชายชาวไร่ก็นึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่คิดอะไร จึงรีบกลับไปกระต๊อบ เพื่อหวังจะได้พักผ่อนสัก 2 หรือ 3 ชั่วโมง เมื่อถึงกระต๊อบเขาก็นอนพักผ่อนตามที่เขาคิดมา
เมื่อรุ่งอรุณของวันใหม่ เขาก็รีบลุกขึ้นแล้วล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็กุลีกุจอลงจากกระต๊อบ ปิดประตู คล้องกุญแจเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปตลาดซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ครบตามต้องการแล้ว จึงกลับบ้านเดิม เพื่อรับลูกรับเมียเข้าไปอยู่ด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันปลูกผักฟักแฟงแตงกวา จะได้เอาออกขายตลาดเลี้ยงครอบครัวไปวันๆ กว่าผลไม้จะได้รับ เพราะที่ที่ทำไร่ไม่ห่างจากตลาดมากนัก
เมื่อกลับมาถึงกระต๊อบพร้อมทั้งครอบครัว จัดที่นอนที่หลับลูกๆ เสร็จแล้ว ก็บอกเมียว่า พี่มีนัดไว้กับพวก จะไปหาปลากันที่ลำห้วยใกล้ๆ กับที่เราจะไปทำไร่ แล้วสั่งเมียว่า เธออยู่กระต๊อบดูแลลูกให้ดีด้วย กลางค่ำกลางคืนอย่างลงจากกระต๊อบออกไปไหน หากได้ยินเสียงอะไร เสียงธรรมดาหรือเสียงแปลกๆ ก็อย่าลงไปเป็นอันขาด
เมื่อสั่งเมียเสร็จ ก็เตรียมตัวเก็บเครื่องไม้เครื่องมือในการจับปลา เพื่อจะเดินทางไปยังที่หมาย พอลับแสงตะวันก็ออกเดินทางไป เมื่อเดินทางออกจากกระต๊อบก็ยังหันกลับมาสั่งเมียอีกครั้ง เพราะความห่วงใยเมียและลูกๆ
เมื่อเดินทางถึงที่หมายก็ 3 ทุ่มเห็นจะได้ ก็จัดแจงเอาเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ วางลงเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเอาเบ็ดไปทงไว้ที่ตัวเองตัดล่องไว้ครั้งก่อน เมื่อทงเบ็ดเสร็จก็กลับมาที่กองไฟเดิมที่เคยทำไว้เมื่อคืนก่อน แล้วเดินหาไม้ผุหรือกิ่งไม้แห้งๆ มาก่อไฟเหมือนคืนก่อน
นั่งรอพวกที่นัดกันไว้เมื่อคืนก่อน รอแล้วรออีกก็ไม่เห็นมาเลย พอได้เวลาก็จับตะข้องพร้อมด้วยกระป๋องที่ใส่ไส้เดือน ออกไปดูเบ็ดเผื่อได้ปลาบ้าง ใจนึกว่าหากเราได้ปลาสักตัวก่อน หรือได้มากกว่านั้น เมื่อเพื่อนมาตอนหลังเราจะได้โม้ว่าเราเก่งกว่า เราขยันกว่า เราไม่นอนหลับเร็วแล้วตื่นช้าเหมือนพวกคุณ แล้วเดินดุ่มๆ ไปคนเดียวฉายไฟแว็บแวบ เดินดูเบ็ดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่หัวแถวจรดท้ายแถว แต่แล้วก็เหมือนคืนก่อนไม่มีผิด เมื่อคิดๆ แล้วก็ท้อใจ เพราะเหตุนี้เองที่เพื่อนผิดนัดกับเรา เดินหมดกำลังใจกลับไปที่กองไฟเพื่อจะได้พักผ่อน และหาความอบอุ่นจากกอไฟ
เมื่อเดินกลับมายังกองไฟก็เห็นเพื่อนนั่งล้อมกองไฟกันอยู่เต็ม เป็นจำนวน 4 คน ก็คือเป็นคนหน้าเดิมคืนก่อนนั้นเอง มาถึงก็เอ่ยถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทงอยู่แถวไหน? เป็นอย่างไร? ได้บ้างไหม? เพื่อนที่นั่งล้อมกองไฟตอบพร้อมกันว่า
"พวกเราก็เหมือนกับเอ็งนั่นแหละ"
แล้วชายชาวไร่ก็ไม่ได้สังเกตอะไร เลยเข้าไปนั่งผิงไฟรวมกับเพื่อน แล้วนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนได้เวลา ก็พากันไปดูเบ็ดที่ทงกันไว้ ต่างก็แยกย้ายกันไป ชายชาวไร่ด้วยความอบอุ่นใจในฐานะที่มีเพื่อนคุยในยามวิกาล ก็เดินร้องเพลงเสียงแจ้ว แต่ในเวลาไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วมารอบทิศ เป็นเสียงใสแจ๋วเยือกเย็น ฟังแล้วเสียวทรวงเหมือนร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรก็ไม่รู้ ความรู้สึกของชายชาวไร่ก็อธิบายไม่ถูก เลยตัวเองก็หยุดร้องเพลงแล้วเดินไปเรื่อยๆ อยู่ๆ ก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วตัว แต่เขาก็ยังฝืนเดินไปดูเบ็ดที่เขาทงไว้ ดูแต่หัวแถวจนสุดท้าย ก็คว้าแต่ความผิดหวังเหมือนเดิม แล้วก็เดินกลับด้วยความท้อแท้ใจ ดูแล้วดูอีกไม่เคยเห็นปลาในลำห้วยนั้นแม้แต่ตัวเดียว
จนเลยถึง 2 ยามแล้วประมาณที่ตี 3 นาฬิกา ตอนหัวรุ่งของคืนวันนั้น ชาวไร่ก็ออกไปดูเบ็ดอีก เมื่อจบแล้วก็เดินกลับ บังเอิญสวนทางกับชายผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นก็ถามเขาว่า
"เดินหาอะไร?"
ชายชาวไร่ตอบว่า "มาดูเบ็ด"
ชายคนนั้นก็ถามเขาว่า "ได้หรือเปล่า?"
แต่เมื่อชายคนนั้นถามเขาอย่างนั้นก็สวนกันแล้ว เท่ากับหันหลังให้กัน ชายชาวไร่ก็หันไปตอบ เมื่อเขาหันไปตอบ แต่คนนั้นก็ไม่หันหน้ามาหาเขา ยังยืนหันหลังให้อยู่เหมือนเดิม เพราะชายชาวไร่ส่องไฟฉายไปดู เห็นชายผู้นั้นยังยืนแข็งทื่ออยู่ แต่เขาเห็นประหลาดๆ อยู่ เขาส่องไฟฉายดูละเอียดๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะดูให้แน่ชัด ว่าเป็นคนหรือผีกันแน่ ในที่สุดเขาดูได้ชัดเจนว่าเป็นรูปคน แต่หลังกลวง เห็นปอด ตับ ไต ไส้พุง เห็นหมดทุกอย่าง
เมื่อเห็นอย่างนั้น ชายชาวไร่ก็ทำอะไรไม่ถูก ตกใจในสิ่งที่มองเห็น เมื่อเขาตั้งสติได้ก็ตะโกนขึ้นสุดเสียงว่า "ผิ...ผิ...ผี...ผีหลังกลวง!!!"
แล้วก็กลับหลังหันวิ่งเหลือแต่อาจารย์โกยเสียอีก วิ่งหวังที่จะไปหาเพื่อนที่กองไฟ แต่ไม่ทันถึงกองไฟก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินสวนมา ถามชายชาวไร่เสียงห้วนๆ ว่า
"วิ่งทำไม?"
ชายชาวไร่ก็ฉายไฟดูหน้าเขาแวบหนึ่ง จำได้ว่าเป็นเพื่อนที่นั่งผิงไฟด้วยกัน แต่เขาก็เดินไปทางที่ชายชาวไร่เจอผี ชายชาวไร่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน กลัวจะโดนเหมือนเขาอีก ก็เลยหันไปเรียกเพื่อนว่า
"อย่าไปทางนั้น จะอันตราย"
คนที่เขาเข้าใจว่าเป็นเพื่อนนั้นก็ยังเดินไปเรื่อยๆ ชายชาวไร่จึงส่องไฟฉายไปดู ก็เห็นเต็มหูเต็มตาอีกว่าเป็น "ผีหลังกลวง" เมื่อเห็นอย่างนั้น ชายชาวไร่วิ่งสุดแรงที่มีอยู่ ความเร็วเหนืออาจารย์โกยเป็นสิบเท่าเป็นร้อยเท่าทีเดียว ไม่ว่าอะไรขวางหน้าเขาก็วิ่งผ่านได้หมด
ในขณะนั้นใกล้สว่างเต็มทีแล้ว เขาก็วิ่งร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่พบเห็น แต่แล้วก็ผิดหวังทั้งหมด เมื่อเขาวิ่งมานานพอสมควร เขาก็หมดทุกอย่างทั้งกำลังกายและกำลังใจก็อ่อนระโหยโรยราแทบจะทรงตัวไม่ได้ แต่เขาก็ฝืนทุกอย่างทั้งใจและกาย เพื่อหวังให้พ้นจากเอื้อมมือหรือวงล้อมของ "ผีหลังกลวง" เขาก็วิ่งสะเปะสะปะมา เพราะหมดแรงเต็มทีแล้ว
มีชายคนหนึ่งเดินมาหาเขา แล้วว่า
"เมาเหล้ามาจากไหน?"
เขาตอบว่า
"เมาเหล้าไหนกันคุณเอ้ย"
ชายผู้นั้นขัดขึ้นว่า
"ไม่เมาเหล้าแล้วเมาอะไรกัน? เห็นเดินโซซัดโซเซมา"
ชายชาวไร่ตอบว่า
"เจอผีหลังกลวงนั่นสิ วิ่งไปทุกทางก็เจอแต่หลังกลวง"
ชายคนนั้นก็ถามว่า
"กลวงมากไหม?"
ชายชาวไร่ตอบว่า
"มากสิ"
แล้วชายคนนั้นถามว่า
"กลวงขนาดนี้ได้ไหม?" พร้อมกับหันหลังให้ดู
เมื่อชายชาวไร่เห็นดังนั้นก็ล้มหงายลงนอนแผ่หรา (หมายถึง ล้มเอาหลังลงนอนหงายอยู่) ชายชาวไร่อ่อนระทวยไปทั้งกาย มีแต่ดวงตาที่เกลือกไปมามองเห็น แต่สติก็ยังจำได้ทุกอย่าง แต่เขามองเห็นในวงกลวงที่แผ่นหลังของผีตนนั้นมีสารพัดทุกอย่าง เช่น กิ้งกือ จิ้งหรีด มด แมลง ตั๊กแตนและอื่นๆ อีกมากมาย
เขานอนมองเพราะไม่มีกำลังจะไป ส่วนสติของเขาก็เลือนลางไปเรื่อยๆ ส่วนดวงตะวันก็เริ่มสาดแสงสว่างขึ้นสู่ท้องฟ้า ผีตนนั้นก็เริ่มเลือนลางลง เมื่อแสงตะวันจ้าขึ้น ผีตนนั้นก็หายไป ชายชาวไร่ก็หมดสติลงพอดี
เมื่อมีความร้อนมากมากระทบร่างของเขา เขาก็ค่อยๆ คืนสติขึ้นมาได้ แล้วลุกขึ้นนั่งอยู่พักหนึ่ง แล้วทบทวนที่ประสบการณ์มา แล้วกลับกระต๊อบ แล้วพูดเพ้อวกไปวนมาแต่เรื่องผีหลังกลวง ส่วนเมียเมื่อเห็นดังนั้น รีบพาไปหาพระประพรมน้ำมนต์ให้ ก็หายเป็นปกติ แล้วพระก็ถามความเป็นมาทุกอย่าง ชายชาวไร่เล่าให้พระฟังทุกอย่างเหมือนที่ประสบกับตนเองมา พระก็บอกว่า
"ตั้งแต่แรกเจอที่แกเข้าใจว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้นมันก็ผีนั้นแหละ ให้โยมพยายามทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้มัน มันจะได้ไปผุดไปเกิดอย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย"
ชายชาวไร่นั่งฟังพระพูดจบ ไม่ตอบไม่รับคำอะไรจากพระ แล้วก็กราบลาพระ ชวนเมียกลับกระต๊อบ มาพลางนึกพลางว่า
"ข้าก็ไม่ยอม จะแก้แค้นให้จงได้"
เมื่อกลับถึงกระต๊อบก็ชวนลูกชวนเมียทำไร่ปลูกผัก ทุกๆ วันจนถึงฤดูแล้งจัดจนน้ำแห้งขอดในลำห้วย เมื่อน้ำในลำห้วยเหลือน้อย ชายชาวไร่ก็ไม่ละความพยายาม จัดการขุดป้องตัดเป็นท่อนๆ แล้วใช้ปี๊บทำเป็นมือวิดน้ำ เมื่อวิดน้ำแห้ง ปลาอื่นไม่มีแม้แต่ตัวเดียวได้แต่ปลาหมอมา 4 ตัว แต่ปลาหมอนั้นมันใหญ่ผิดปกติ ตัวขนาดครึ่งกิโลกว่า
เมื่อกลับมาถึงกระต๊อบก็จัดการทำเพื่อจะปรุงเป็นอาหาร เมื่อขอดเกล็ดเสร็จแล้ว ก็ผ่าท้องของปลาเพื่อจะเอาขี้ออก แต่ผ่าออกเสร็จแล้ว เอามีดเขี่ยดูในท้องของปลาแทนที่จะเป็นปลาธรรมดา แต่แล้วไม่ใช่ เป็นเล็บ เส้นผมของคนทั้งนั้นที่อยู่ในท้องของปลา เมื่อเห็นดังนั้นก็เรียกเมียให้มาดู เมื่อเมียเห็นดังนั้นบอกกับผัวว่า
"โยนทิ้งไปเสีย อย่าฝืนกินมันเลย เพราะมันผิดปกติธรรมดาของปลาทั่วๆ ไป"
แต่ผัวไม่ยอม แล้วบอกเมีย เราต้องกินมันให้สมแค้น ที่มันทำกับเราแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ก็เอาปรุงเป็นอาหารเสร็จแล้ว ชวนลูกเมียกินจนหมดเกลี้ยง
เมื่อกินปลาแล้ว รุ่งวันต่อมา ทุกคนก็ล้มป่วยเหมือนกันหมด เพราะไม่มีใครช่วยใครได้ ในที่สุดก็เสียชีวิต ทั้งครอบครัว กลายเป็นพวกเดียวกันหมด คอยหลอกหลอนผู้คนที่เข้ามาจับจองที่ดินทำมาหากินในแถบนั้น เป็นประวัติเล่าต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
จบบูริบูรณ์
รูปภาพจาก : https://pixabay.com/