ถอดความบทสัมภาษณ์ "ทักษิณ" ของ "Thai Enquirer"
ถอดความบทสัมภาษณ์ "ทักษิณ" ของ "Thai Enquirer"
7 มกราคม 2021
ทักษิณให้สัมภาษณ์ Thai Enquirer วันนี้ ความยาวประมาณ 47 นาที ใครชอบอ่านปีใหม่ฟังไปถอดความไปมาให้ตามนี้:
.
ทำไมจึงตัดสินใจเข้าสู่การเมือง? นายกทักษิณตอบว่า "สำหรับคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ก็ควรคิดถึงคนอื่นที่ยังลำบากด้วย เหมือนอับราฮัม ลินคอล์น บอกว่าเมื่อไต่บันไดถึงจุดบนสุดแล้ว อย่าผลักบันไดทิ้ง แต่ควรจับบันไดไว้ให้มั่น เพื่อให้คนอื่นได้ไต่ขึ้นมาด้วย"
.
นายกทักษิณกล่าวถึงยุควิกฤติ ที่ธุรกิจของท่านรอดมาได้ เมื่อท่านรู้วิธีอยู่รอด ท่านสร้างฐานะจากการที่ไม่มีอะไรเลย ท่านจึงรู้วิธีที่จะช่วยคน ปี 1997 ท่านเคยให้คำแนะนำบริษัทมากมายที่ล้มละลาย ให้กลับมาสร้างกำไรได้ ท่านจึงคิดถึงคนยากจน ทำอย่างไรให้กลับกลายเป็นคนร่ำรวยได้ ซึ่งก็เหมือนกับบริษัทเหล่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านเข้ามาเล่นการเมือง เพื่อช่วยเหลือคนยากจนเหล่านั้น
.
นายกทักษิณบอกว่า ท่านได้อะไรหลายอย่างจากการเป็นคนไทย ประสบความสำเร็จก็ในประเทศไทย จึงคิดจะช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน ซึ่งหนทางเดียวที่จะช่วยได้ ก็โดยผ่านการเมือง จึงตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา
.
เหตุที่ท่านต้องตั้งพรรคใหม่ เพราะพรรคที่มีอยู่ไม่เปิดรับวิถีทางการเมืองใหม่ๆ ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเราต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ ไม่สามารถใช้กระบวนทัศน์เก่าในทุกเรื่องราวได้ แม้แต่การบริหารประเทศ
.
การมีกระบวนทัศน์ใหม่ ต้องสร้างพรรคขึ้นมาใหม่ เพราะไม่สามารถใช้เวลาไปเปลี่ยนกระบวนทัศน์เก่าในพรรคเดิมได้
.
นายกทักษิณบอกว่า เหตุที่ท่านสามารถนำพาพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายได้ เพราะท่านทำวิจัยอย่างหนัก (ตั้งแต่ปี 2541
ก่อนการเลือกตั้งปี 2544 ท่านมีเวลาทำวิจัยก่อนเลือกตั้งถึง 3ปี) และ สร้างกลุ่มเป้าหมาย ท่านเข้าหาชาวบ้าน ไปฟังปัญหาของพวกเขา และ คิดหาวิธีช่วยเหลือพวกเขา
.
ท่านคิดว่าจะต้องทำการเมืองที่แตกต่างจากการเมืองเก่า ที่มีแต่สาดโคลนใส่กัน และ ใช้เงินซื้อเสียง 100-200 บาท กินวันเดียวก็หมด ซึ่งท่านคิดว่าไม่สามารถนำพาสู่ความสำเร็จได้ แต่ถ้ามีนโยบายที่เหมาะสม และ มีรัฐบาลที่ซื่อสัตย์ ดำเนินตามนโยบายที่สัญญาไว้ ก็กินได้ทั้งชีวิต
.
ท่านจึงทำการวิจัย และ กลั่นเป็นนโยบายออกมา ซึ่งเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่พรรคการเมืองสัญญาว่าจะทำอะไรให้ประชาชนอย่างชัดเจน
.
นโยบายที่ประชาชนชอบมากที่สุด ท่านคิดว่า คือ นโยบายระดับหมู่บ้าน และ 30 บาทรักษาทุกโรค
.
นโยบายระดับหมู่บ้าน เช่น กองทุนตำบลละ 1 ล้านบาท ให้ไปบริหารจัดการกันเอง โดยการปล่อยกู้กันเองในหมู่บ้าน เพื่อเอาไปลงทุนทำธุรกิจของตน NPL แค่ 2.2%-2.5% ต่ำมากเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ย 6%
.
นายกทักษิณบอกว่า สไตล์การบริหารเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการบริหารบรรยากาศทางเศรษฐกิจ มีคำอยู่ 2 คำที่สำคัญทางเศรษฐกิจคือ Trust (ความไว้วางใจ) และ Confidence (ความเชื่อมั่น)
.
"ช่วยเหลือตัวเองก่อนที่จะให้พระเจ้าช่วย" เป็นกลยุทธ์ที่นายกทักษิณใช้
.
นายกทักษิณบอกว่าประเทศไทยจะไม่มีทางกู้เงินต่างประเทศ ภายใต้การนำของท่าน ท่านเชื่อว่าเมื่อสามารถบริหารสภาพคล่องได้ ก็พึ่งพาตัวเองได้ และนั่นนำมาซึ่งความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลของท่าน
.
นายกทักษิณบอกว่า ท่านได้ลดหนี้ และ จ่ายคืนหนี้ของไทยรวมทั้งหนี้ IMF
.
ซึ่งนั่นเป็นสไตล์บริหารของท่าน และ ทุกองค์กรจำเป็นจะต้องมีผู้นำที่มีกลยุทธ์และทักษะการบริหาร คนเป็นผู้นำไม่ใช่สักแต่เป็นเพียงผู้นำทางกฎหมายเท่านั้น ซึ่งท่านได้สาบานตนตอนเป็นนายกรัฐมนตรี ว่าจะเป็นผู้นำที่นำพาประเทศด้วยความเสียสละ ไม่ใช่สักแต่เป็นผู้นำตามหน้าที่/ตามกฎหมาย
.
นายกทักษิณบอกว่า พันธมิตรทางการเมืองมักจะเลือกอยู่ข้างที่ชนะเสมอ "ก่อนหมาจะตายเห็บก็เดินหนี" นั่นคือไทยสไตล์
.
ไทยเป็นรัฐพันลึก มี "อะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลัง" เมื่อเราแข็งแรงเราจะไม่มีปัญหากับพันธมิตร เขาจะซื่อสัตย์จะตั้งใจทำงานภายใต้การนำของเรา แต่เมื่อไรก็ตามที่ "รัฐพันลึก" เริ่มทำงาน เราต้องระวังตัว "ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ผมไม่ประสากับเรื่องนี้เลย เพราะผมโตที่เชียงใหม่ มากรุงเทพเรียนหนังสือ จบก็ไปต่อต่างประเทศ กลับมาก็ทำธุรกิจ จึงไม่ประสีประสาเรื่อง รัฐพันลึก เอาเสียเลย เมื่อผมแข็งกร้าวเกินไป ผมจึงเพิ่งจะเข้าใจว่าผมนี่ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน จนกระทั่งผมโดนขับไล่ ผมยังคงไร้เดียงสาและไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น ผมสารภาพเลย" นายกทักษิณกล่าว
.
เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรที่พันธมิตรแปรพักตร์ ยกตัวอย่าง "เนวิน ชิดชอบ" ซึ่งไปหนุนฝ่ายตรงข้าม นายกทักษิณตอบว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ และ ทางรอดนั้นคือต้องเป็นรัฐบาลตลอดเวลา ต้องเลือกข้างคนชนะ อุดมการณ์หดหาย มันคือไทยสไตล์
.
นายกทักษิณพูดถึงม็อบเยาวชนว่า พวกเขาต้องสู้เพื่ออนาคตของตนเอง
.
คนที่อยู่ในเมืองไทยตอนนี้ มองไม่เห็นอนาคตของตนเอง ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าประเทศไทยจะเดินไปทางไหน อยู่ไปวันๆ ฟังข่าวสาร โดยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
.
ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีวิสัยทัศน์ สำหรับอนาคต นั่นเป็นเหตุผลให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาประท้วง
.
ตอนเป็นเด็ก 20 ปีก่อน เยาวชนเหล่านี้ได้ยินพ่อแม่เขาพูดถึงการมีรถใหม่ บ้านใหม่ งานใหม่ แต่ตอนนี้เขาได้ยินพ่อแม่เขาพูดว่า กำลังตกงาน กำลังเสียรถ เสียบ้าน เด็กเหล่านี้เริ่มคิดว่าอนาคตของเขาไม่สดใสเสียแล้ว เขาไม่รู้ว่าเรียนจบจากระบบการศึกษาที่แย่ แล้วจะไปทำอะไร
.
กระบวนทัศน์ในการคิด เทคโนโลยีเปลี่ยน หลังการระบาดใหญ่ครั้งนี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป แต่ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยคืออะไร ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาลนี้ ที่เขาเชื่อว่าคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหรอ? นายกทักษิณถาม
.
นายกทักษิณเล่าว่า สมัยเป็นรองนายกฯ ยุคพลเอกชวลิต ได้ดูแลกระทรวง พม เลขาธิการสภาพัฒน์ (ตอนนั้น) ได้บอกนายกทักษิณหลังเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจว่า ไม่สามารถแตะต้องยุทธศาสตร์ชาติได้ เพราะได้ประกาศใช้ไปแล้ว นายกทักษิณตอบว่า plan มันไม่ควร นิ่ง แต่มันต้องเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แผนเดิมบอกว่า GDP +7-8% แต่เรื่องจริง -7% ยังจะเก็บแผนเดิมไว้อีกเหรอ?
.
เมื่อถูกถามว่า ตอนแรกไม่ประสาเรื่อง รัฐพันลึก แล้วมารู้ประสาตอนไหน
.
นายกทักษิณตอบว่าเพิ่งมารู้เอาปีสุดท้ายก่อนโดนยึดอำนาจ รู้เพราะมีม็อบขับไล่ท่าน ซึ่งมันไม่เป็นธรรมชาติ หน่วยข่าวกรองที่อยู่ข้างท่านได้บอกท่าน
.
เมื่อท่านชนะเทอมที่2 ได้ 377 ที่นั่ง "ผมได้กลายเป็นเหยื่องของความสำเร็จของตนเอง" นายกทักษิณกล่าว
.
นายกทักษิณมองว่า การทำสงครามยาเสพติด การฆ่าตัดตอน อะไรทั้งหลายแหล่เป็นการพูดเกินจริงของฝ่ายตรงข้าม ปีแรกของการทำรัฐประหาร "คณิต ณ นคร" ซึ่งเป็นคนที่ไม่ชอบท่านเอามากๆ ได้ถูกแต่งตั้งเพื่อตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ เขาสามารถจะเอาผิดนายกทักษิณได้ แต่ก็หาหลักฐานเอาผิดไม่ได้
.
แต่นายกทักษิณก็ยอมรับว่า นโยบายละเอียดอ่อนเหล่านี้ ท่านก็ควรมองเรื่องความบกพร่อง ให้ลึกในรายละเอียดกว่านี้ "ในฐานะนักธุรกิจผมมักใช้กลยุทธ์ในการบลัฟ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ บลัฟ ไว้ก่อน ผมก็บลัฟนักค้ายาเหล่านั้นแบบเดียวกัน"
.
ตำรวจเองก็ด้วย บางครั้งก็เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้ายา ฆ่าตัดตอนเสียเอง เพื่อไม่ให้เรื่องสาวมาถึงตัว ซึ่งท่านยอมรับว่าท่านควรดูรายละเอียดให้มากกว่านั้นเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตของเจ้าหน้าที่
.
นายกทักษิณยอมรับด้วยว่า ท่านควรดำเนินการทางการเมืองเกี่ยวกับปัญหาไฟใต้ ให้มากกว่านโยบายที่ได้ทำไป แม้แต่ตอนที่นายกปูเป็นนายก ท่านก็ไปมาเลเซีย พบกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อหาทางประนีประนอม แต่ก็ไม่ได้ผล
.
เกี่ยวกับเรื่องไฟใต้ ถ้าย้อนกลับไปได้ นายกทักษิณจะเลือกวิธีเจรจากับพวกเขาให้มากกว่าการทำนโยบาย
.
นายกทักษิณบอกว่า สมัยนายกปู ได้แต่งตั้งพ.ต.อ ทวี สอดส่อง ให้ดูแลสามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งได้ผลเป็นอันมาก เพราะมีการพูดคุยและทำข้อตกลงกันหลายอย่าง แต่พวกทหารก็ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการเจรจา หรือ การทำข้อตกลงนั้นเลย
.
นายกทักษิณตอบคำถาม "ทหารไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล" ว่า ถ้าโครงสร้างกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนอย่างแท้จริง ทุกสิ่งอย่างจะดีไปเอง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ ซึ่งนายกทักษิณบอกว่าตอนท่านเป็นรัฐบาล ท่านทำเรื่องนี้ได้ดีกว่ารัฐบาลนี้มาก แต่เมื่อ รัฐพันลึก ทำงานทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
.
นายกทักษิณบอกว่าท่านประมาทเกินไป จึงเกิดการยึดอำนาจท่าน เพราะความที่ท่านคิดว่าประเทศไทยมีการเมืองสมัยใหม่แล้ว หลังปี ค.ศ. 2000 นั้นเราควรจะมองไปข้างหน้า เพื่ออนาคตลูกหลาน ไม่น่าจะมีการยึดอำนาจไว้กับชนชั้นสูงอีกต่อไป
.
แต่อีลีท ก็คือ อีลีท
.
นายกทักษิณเล่าให้ฟังว่า มีเจ้าหน้าที่ในไทยที่ทำงานให้ท่าน แจ้งท่านว่าโดนยึดอำนาจ ขณะที่ท่านอยู่อเมริกา ท่านได้เตรียมการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้แล้ว แต่ไม่มีใครกล้า มีแต่คุณมิ่งขวัญอยู่ ซึ่งได้อนุญาตให้นายกทักษิณอ่านคำประกาศผ่านโมเดิร์นไนน์ทีวี แต่ก็อ่านได้แค่ท่อนแรก สัญญาณก็ถูกตัด
.
ผู้สัมภาษณ์ถามว่า "เชื่อไหมว่าโดนยึดอำนาจ เป็นผมคงไม่เชื่อ" นายกทักษิณบอกว่า ท่านเชื่อว่าอะไรจะเกิดก็เกิด จบก็จบ ท่านยังโทร หาสนธิบัง และบอกว่าท่านเป็นนักกีฬาพอ และรู้ดีว่าอะไรจบแล้วก็คือจบ แต่อย่ามารังแกทางการเมืองท่าน ถ้ารังแกท่าน ท่านก็จะสู้กลับ สนธิบัง ตอบท่านแต่เพียงว่า "ครับท่าน ครับท่าน"
.
หลังถูกยึดอำนาจ มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคของนายกทักษิณก็ชนะอีก ท่านเชื่อว่ายุคของท่านประชาชนกินดีอยู่ดี มีความสุข เพราะรัฐบาลท่านสามารถทำในสิ่งที่สัญญาไว้ตอนหาเสียงได้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่พรรคของท่านสัญญาต่อประชาชน ประชาชนก็เชื่อว่าจะเป็นจริง
.
ไม่เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มีอยู่พรรคหนึ่งสัญญาว่าจะทำนั่นทำนี่นับร้อยเรื่อง แต่ไม่ทำสักเรื่อง ซึ่งนายกทักษิณรู้สึกอายแทน
.
ท่านบอกว่า "ผมไม่เคยสัญญาอะไรในสิ่งที่ผมจะทำไม่ได้"
.
นายกทักษิณบอกว่าท่านต้องการไปให้ห่างไกลจากการเมืองไทย แต่ฝ่ายตรงข้ามรังแกท่านตลอดเวลา แม้ว่าท่านไม่ได้ทำอะไรให้ใคร ท่านก็ไม่รู้ว่าทำไม พวกเขากลัวท่านราวกับแดร็คคูล่า
.
นักการเมืองบางคน พูดถึงท่านมากกว่าพูดถึงภรรยาตัวเองเสียอีก นายกทักษิณกล่าว
.
นายกทักษิณยกคำของพระพุทธเจ้า "จิตปรุงแต่ง" เมื่อเชื่อว่าเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งก็จะเกิดตามมา เขาคิดมากเกินไป บางคนเกลียดท่านโดยไม่รู้จักไม่เคยเห็นท่านด้วยซ้ำไป เกลียดเพียงเพราะสื่อฝ่ายตรงข้ามโจมตีท่าน
.
นายกทักษิณบอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีมาตรฐาน คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญขึ้นอยู่กับว่าใครอยู่ฝ่ายไหน การตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ไทยรักไทย โดยไม่มีความผิดใดเลย บางครั้งจะเขียนอะไรก็ได้ ไม่มีกฎหมาย ไม่มีหลักฐาน มีแต่คำบอกเล่า และ จินตนาการ นั่นคือศาลนำมาใช้ในการตัดสิน
.
พวกเขาไม่เข้าใจว่า หลักนิติธรรม คือกุญแจสำคัญของความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ซึ่งหลักนิติธรรมไม่ได้เกี่ยวเฉพาะกับเรื่องกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น แต่เกี่ยวกับเศรษฐกิจด้วย ถ้าไม่แคร์ระบบเศรษฐกิจ ก็ไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการยุติธรรมที่ดี
.
ต่อข้อถามที่ว่า พรรคท่านมักโดนข้อหาโกง นายกทักษิณบอกว่า การที่นักการเมืองต้องการจะทำลายฝ่ายตรงข้าม คำว่าทุจริต คอรัปชั่น เป็นข้อหาที่มักจะถูกหยิบยกก่อนเสมอ เพราะมันง่ายที่สุดแล้ว
.
แม้แต่ ปปช เองยังบอกว่ารัฐบาลนี้ทำเงินหายไป 3000 กว่าล้าน นี่คือการรั่วไหลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แล้วเงินมันหายไปไหน? เขาซื้อเสียงได้อย่างไร? เอาเงินจากไหนมาซื้อเสียง ? ซื้อเสียงเป็นข้อกล่าวหาที่ง่ายที่สุดในโลกใบนี้
.
นายกทักษิณบอกว่า "ผมโดนกล่าวหามาตลอด แต่ผมกลับไปได้ทุกที่ ยกเว้นประเทศไทย"
.
พูดถึงนายกปู การเข้าสู่การเมืองมีทั้งข้อเสียและข้อดี จนถึงบัดนี้นายกปูก็ยังเป็นที่นิยมอย่างสูงในหมู่ประชาชน ดีอีกอย่างคือแทนที่ท่านจะต้องลี้ภัยคนเดียว ท่านก็มีน้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อน 555+
.
แต่สิ่งที่แย่คือท่านทำให้ครอบครัวของนายกปูต้องแยกกันอยู่ นายกปูต้องมาอยู่ที่นี่คนเดียว แต่ยังโชคดีที่น้องไปก์ สอบเข้าเรียนที่ Imperial College ลอนดอนได้ ก็ได้มาอยู่กับแม่
.
ยังมีหวังที่จะได้กลับมาเมืองไทยอีกไหม ?
.
นายกทักษิณตอบว่า Life must go on ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือ ทำอะไร ชีวิตต้องมีคุณค่าสำหรับตัวเอง และ อะไรก็ตามที่สามารถทำให้คนอื่นได้ ผมอยู่ต่างประเทศ ผมก็ต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาอย่างสร้างสรรค์ ก็เลยลงทุนด้านเทคโนโลยี ได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับเทคโนโลยี
.
เพื่อว่า วันใดที่ประเทศไทยต้องการสมอง และ ประสบการณ์ของผมอีกครั้ง ถ้าไม่ต้องการผมก็ใช้สำหรับตัวเอง แต่ถ้าต้องการเมื่อใดผมก็พร้อม !!!
.
ยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยังแข็งแกร่งอยู่ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็พยายามดิสเครดิต ลดความนิยมในแบรนด์ทักษิณลง โดยเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง และเขียนกติกาขึ้นมาใหม่ เพราะเขารู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เปิดให้เป็นประชาธิปไตย เขาก็ไม่มีทางชนะพรรคเพื่อไทยได้
.
การที่ฝ่ายตรงข้ามดึงคนของพรรคเพื่อไทยไป เขาสามารถทำได้ด้วยกฎ กติกาที่พวกเขาเขียนขึ้นมาเอง และ นักการเมืองเหล่านั้นก็มักจะอยู่ข้างคนชนะ แสวงหางาน หาอำนาจเสมอ
.
ท่านยังเชื่อว่าเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อไทย จะกลับมายิ่งใหญ่ที่สุด เป็นพรรคเบอร์หนึ่งอีกครั้ง และ จะชนะมากกว่าเดิมด้วย
.
เมื่อถึงเวลาผลัดใบ ก็ต้องผลัดใบ !
.
ไม่ว่าสมาชิกพรรคจะย้ายไปอยู่กับพลังประชารัฐ หรือ กับพรรคใด นายกทักษิณก็เชื่อว่า ในทุกวิกฤติมีโอกาสเสมอ วิกฤติมันมีทั้งความเสี่ยงและโอกาส มองด้านใดด้านเดียวไม่ได้
.
"ผมผ่านมานับล้านวิกฤติในชีวิต ผมชินกับมันแล้ว"
.
เมื่อถูกถามว่า กังวลไหม ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ได้คะแนนเสียงของคนรุ่นใหม่ เพราะมีธนาธร ซึ่งสนับสนุนม็อบ etc. นายกทักษิณยกบทความจากอเมริกาที่เคยอ่าน เกี่ยวกับ กลางซ้าย กลางขวา และ ขวา-ซ้าย
.
หลังจากกำแพงเบอร์ลินถูกทำลายลง อุดมการณ์ทั้งหลายได้จางหายไป คนไปลงคะแนนเสียงมักมองหาผู้นำที่มีเสน่ห์ และ ท่านยอมรับว่า พรรคเพื่อไทย ยังหาผู้นำที่มีความเหมาะสม และ มีเสน่ห์ไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
.
และยังไม่รู้เลยว่า พรรคเพื่อไทย จะหาใครที่มีคุณสมบัติแบบนี้ได้หรือไม่ สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า
.
การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ธนาธร เป็นผู้นำที่มีเสน่ห์ และ คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักพรรคการเมืองแต่ละพรรคว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าพรรคธนาธรเป็นพรรคใหม่ ที่มีเสน่ห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธนาธร ประสบความสำเร็จ ณ ตอนนั้น
.
แต่การเลือกตั้งครั้งหน้า นายกทักษิณบอกว่าไม่รู้
.
พรรคเพื่อไทยต้องปรับตัวอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องอุดมการณ์ นโยบาย และ ความเป็นผู้นำ ซึ่งตอนนี้ สิ่งที่เพื่อไทยต้องทำคือ หาผู้นำที่มีเสน่ห์ให้เจอก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ และ ผู้นำของเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องพาตัวเองอยู่ห่างจากนายกทักษิณ เพราะทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้โดยไม่ต้องครอบงำ
.
เมื่อถูกถามว่า คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักทักษิณแล้ว อยากเขียนหนังสือแนะนำตัวให้คนรุ่นใหม่รู้จัก หรือ จดจำทักษิณแบบไหน นายกทักษิณตอบว่า "ผมอยากให้คนเข้าใจว่า ผมเข้ามาทำงานการเมืองด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่อย่างมืออาชีพ ผมอยากให้คนจดจำว่า ผมเข้ามาทำงานการเมืองเพราะผมรักประเทศไทย และ รักคนไทย และ ผมได้สั่งสมประสบการณ์ไว้มากมาย ที่ผมอยากจะแบ่งปัน เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ ประชาชน นั่นคือความตั้งใจของผม"
.
มรดกที่ผมต้องการตกทอดไว้ คือ การที่ผมจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ โดยคำนึงถึงประชาชนก่อนเสมอ ถ้ามองย้อนกลับไปตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้ IMF ตอนที่โรคซาร์สระบาด ตอนที่เกิดจลาจลในเขมร เผาสถานทูตไทย เหล่านั้นสามารถมองกลับไป ก็จะเข้าใจได้
.
ผมไม่ได้สนใจเรื่องมรดกตกทอดเท่าไหร่ แค่ไม่อยากถูกทำลายให้เสื่อมเสียแค่นั้น ถ้าเราทำอะไรให้ประเทศ เราไม่สมควรจะคาดหวังว่าจะได้อะไรกลับมา ถ้าเรารักประเทศ รักประชาชน เราไม่ต้องการอะไรตอบแทน
.
แต่เราจะมีความอิ่มใจเมื่อเห็นเศรษฐกิจโตขึ้น เราสามารถชำระหนี้ IMF ได้ แม้ว่าตอนกู้เราจะไม่เคยรู้ว่าชาตินี้จะใช้หนี้ได้หมดเมื่อไร แต่ผมบริหารจัดการให้เราสามารถใช้หนี้ได้ภายใน 2 ปี
.
ถ้าพูดถึงสงครามยาเสพติดที่ผมทำ ในยุคผมยาเสพติดไม่มีเลย ราคาก็สูงมากเพราะมันหาไม่ได้ แต่เทียบกับยุคนี้ราคายาเสพติดถูกมาก ถูกกว่าหมากฝรั่ง
.
พูดถึงม็อบนักศึกษา ท่านไม่คิดว่าเกี่ยวกับการจะได้กลับบ้านของท่านหรือไม่ พวกเขากำลังพยายามเห็นอนาคตของเขาผ่านประชาธิปไตย ประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตยมาหลายปีแล้ว เขาไม่อยากให้ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เขาไม่ต้องการให้วังรับรองการทำรัฐประหาร นั่นคือสิ่งที่ผมมองเห็น
.
นักศึกษายังเยาว์วัย มีความตั้งใจดี ถ้ามีการพูดคุยกันได้ ทุกอย่างก็จบ อย่าไปคิดว่าใครที่คิดไม่เหมือนเราจะเป็นคนไม่ดี ต้องนั่งลงและฟังเขา แล้วเราจะเห็นมุมมองใหม่ๆ ประเทศก็จะกลับไปเป็นปกติอีกครั้ง
////
นายกทักษิณให้สัมภาษณ์ Thai Enquirer วันนี้ ความยาวประมาณ 47 นาที...
Posted by ชินวัตร fc แม้วแอนปู on Wednesday, January 6, 2021
อ้างอิงจาก: https://youtu.be/ynwx699SNgA
https://www.facebook.com/1818397225048275/posts/2878366065718047/?app=fbl