ของเล่น(เรื่องสั้น)
ของเล่น
...............................................................................................................................................
“พ่อจะไปไหน”
ทันทีที่ข้าพเจ้าสตาร์ทรถเครื่องคันสีชมพูลูกชายวัยห้าขวบเศษก็ร้องถาม พร้อมกันนั้นก็รีบลงจากบันไดบ้าน
“ไปตลาด” ข้าพเจ้าบอก
“หนูจะไปด้วย” แกมองหารองเท้าเลิ่กลั่ก สวมใส่อย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็ขึ้นมานั่งบนรถเครื่องด้วยรอยยิ้มร่าเริงเหมือนจะได้ไปท่องสวรรค์
“ไม่ซื้ออะไรนะ” ข้าพเจ้าสำทับ แกนิ่งชั่วอึดใจ การนิ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้เหตุผล เด็กๆ มักจะไม่โกหก โดยเฉพาะเด็กวัยขนาดนี้
“หนูจะซื้อของเล่น” แกกระซิบเบาๆ เพื่อไม่ให้แม่ซึ่งกำลังย่างหมูได้ยิน
“เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี้เอง เดี๋ยวแม่ก็ดุเอาหรอก” แกกลัวแม่มากกว่าข้าพเจ้า
“ไปเถอะพ่อ ไปตลาด” ลูกชายตัวดีตัดบท
ด้วยความที่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ข้าพเจ้าจึงกระชากรถออกจากบ้าน เมียบอกเสมอว่าข้าพเจ้าเป็นคนใจอ่อน โดยเฉพาะกับเจ้าลูกชายคนเดียวนี้แล้ว ชี้อยากได้อะไรข้าพเจ้ามักจะซื้อให้ จะด้วยความรำคาญหรือความรักอะไรก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าจึงถูกเมียบ่นบ่อยๆ
“อย่าใจดีกับแกนักซี” เมียว่าพร้อมกับทำหน้าตาขึงขังทุกครั้ง เมื่อเห็นลูกชายถือของเล่นกลับเข้าบ้านภายหลังกลับจากตลาด
“จะให้พี่ทำยังไง ถ้าไม่ซื้อเดี๋ยวก็ออกฤทธิ์ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่ร้านค้านั่น” ข้าพเจ้าแก้ตัว
“ร้องก็ช่างสิ เดินหนีออกมาเลย” เมียชี้แนะ
“น่า...นะ”
“เดี๋ยวลูกก็เสียคนตั้งแต่ยังเล็กหรอก” เมียยังต่อว่าไม่เลิก
กลายเป็นข้อถกเถียงประจำวันสำหรับข้าพเจ้ากับเมียเสียแล้ว ดูเหมือนหล่อนจะบ่นหนักข้อขึ้นทุกที อีกทั้งเจ้าลูกชายตัวแสบก็ซื้อของเล่นได้ทุกวันเหมือนกัน
ตอนประมาณสามขวบ ลูกชายไม่คิดจะซื้ออะไรทั้งนั้น เป็นเพราะแม่พานั่งซ้อนจักรยานไปตลาด ทั้งตลาดเช้าและตลาดร้านชำทั่วไป แกจึงเริ่มอยากได้อะไรต่อมิอะไร ด้วยเหตุนี้เองของเล่นของแกจึงเต็มบ้านไปหมด ไม่ว่าจะเป็นมีดดาบพลาสติกหลากหลายขนาด รถขนาดจิ๋วขนาดใหญ่ แกมีของเล่นเกือบทุกประเภทเลยทีเดียว
ข้าพเจ้านึกย้อนกลับไปในวัยเด็กของตนเอง ไม่เคยมีของเล่นที่ซื้อจากร้านค้าอยู่ในความทรงจำสักอย่าง จะมีก็แต่การเล่นหมากเก็บ เป่าหนังยาง หรือไม่ก็กระโดดเชือก
ยังมิทันที่ข้าพเจ้าจะซื้อของในร้านค้าเสร็จ ลูกชายก็เข้ามากระซิบข้างหู
“พ่อๆ หนูอยากซื้อของเล่น” ว่าแล้วก็ดิ่งตรงไปยังมุมของเล่นมุมเดิมที่แกเคยมาซื้อเป็นประจำ
“พ่อไม่มีตังค์นะ” ข้าพเจ้าว่า แกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว ข้าพเจ้าตรวจดูราคาจากตัวสินค้าแล้วก็ต้องถอนใจ รถยนต์ของเล่นที่ลูกต้องการราคาสองร้อยห้าสิบบาท เงินในกระเป๋าข้าพเจ้ามีเพียงหนึ่งร้อยบาทเท่านั้น ข้าวของเครื่องใช้ที่ข้าพเจ้านำไปวางบนเคาน์เตอร์ราคาก็ประมาณแปดสิบบาท
“ถ้าจะเอาก็เอาคันเล็ก” ข้าพเจ้าต่อรอง
“ไม่ หนูจะเอาคันนี้” ชี้มือไปยังรถยนต์คันสีแดงคันเดิม ทำท่าจะร้องไห้เพื่อกดดันข้าพเจ้าอีกเช่นเดิม ซึ่งทุกครั้งก็กดดันเป็นผลสำเร็จ สำหรับวันนี้ข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ตามใจอีก
“ถ้างั้นพ่อไปนะ” ข้าพเจ้าเดินไปจ่ายตั้งค์ค่าสินค้าที่เคาน์เตอร์ เจ้าของร้านซึ่งเป็นผู้หญิงได้ยินทั้งหมดที่ข้าพเจ้ากับลูกสนทนากัน หล่อนยิ้มบางๆ ลูกชายวิ่งตามออกมา แต่ไม่ทันแล้ว ข้าพเจ้ารับตังค์ทอนแล้วเดินอย่างรวดเร็ว คร่อมรถเครื่องได้ก็กระชากออกไปทันที ท่ามกลางความแปลกใจของพ่อค้าแม่ค้าและคนในตลาด
ได้ยินเสียงลูกชายแผดเสียงร้องไห้อยู่หน้าร้าน ข้าพเจ้าทำเป็นไม่สนใจ ขี่รถกลับบ้านทันที ระยะทางระหว่างร้านค้ากับบ้านประมาณหนึ่งกิโลเมตร วันนี้คิดว่าจะให้บทเรียนแก่ลูกชายและสร้างผลงานให้เมียเห็นสักหน่อยว่าจะไม่ใจอ่อนอีกต่อไปแล้ว แต่พอจอดรถเมียก็ถาม
“ลูกไปไหน”
“ทิ้งไว้ที่ร้านค้า แกจะเอาของเล่น ไม่ซื้อให้หรอก ตามใจเดี๋ยวจะเสียคน” ข้าพเจ้าว่า เมียทำหน้าบูดบึ้งบอกบุญไม่รับ
“เดี๋ยวลูกก็เดินกลับบ้านถูกรถชนหรอก หรือไม่ก็ร้องไห้ฟูมฟายทำความรำคาญให้ร้านค้าเขา ทำอะไรไม่คิด”
“ก็ไหนไม่ให้ตามใจไง ไปรับลูกเองสิ” ข้าพเจ้าเถียง เมียไม่พูด หันไปสาละวนอยู่กับหมูย่างบนเตา การนิ่งของเมียถือว่าเป็นจุดแตกหัก
ข้าพเจ้าเดินไปเดินมา เอาของที่ซื้อมาขึ้นไปเก็บบนบ้านก็แล้ว ดื่มน้ำเย็นๆ ก็แล้ว อดคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ไม่ได้ ภาพของลูกชายวัยห้าขวบกำลังนอนดิ้นร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่หน้าร้านค้าคอยวนเวียนอยู่เบื้องหน้า
ข้าพเจ้าตัดสินใจตะบึงรถเครื่องกลับไปที่ร้านค้าอีกครั้ง ถามเจ้าของร้านว่าลูกชายอยู่ไหน หล่อนชี้ไปที่มุมของเล่น เจ้าลูกชายตัวดีเอามือลูบคลำรถของเล่นอยู่ไปมา ไม่เป็นอย่างที่ข้าพเจ้าวาดภาพไว้ ข้าพเจ้าเดินตรงไป พอถึงก็อุ้มแกขึ้น แกร้องไหและดิ้นจะออกจากมือ ต้องใช้แรงพอสมควร สตาร์ทรถได้ก็บึ่งกลับบ้านพร้อมลูกชายที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด
ถึงบ้านบ้านแล้วลูกชายก็ยังร้องไห้อยู่อย่างนั้น ข้าพเจ้าอยากให้วันหยุดนี้เป็นวันหยุดที่น่ารื่นรมย์เช่นที่เคยเป็น จึงหันไปเสียบปลั๊กเครื่องเล่นวิดีโอเกม ข้าพเจ้าพูดลอยๆ ขึ้นว่า “พ่อเล่นเกมดีกว่า เอาเกมอะไรดีน้า” มือไม้เลือกแผ่นเกมแผ่นแล้วแผ่นเล่า แต่ยังไม่ถูกใจ
“หนูจะเล่นเกมฟุตบอล พ่อกดตั้งให้หน่อยนะ”
แกเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ และยื่นแผ่นเกมฟุตบอลให้ ข้าพเจ้ากดตั้งเกมคู่ระหว่างอิตาลีกับฝรั่งเศสให้ จากนั้นก็เหลือเพียงคราบน้ำตาของลูกชายกับการเล่นเกมฟุตบอลที่เอาจริงเอาจัง
“ยิงสิยิง...ฮู้”
ข้าพเจ้าหันไปยักคิ้วให้เมียที่ขึ้นบนบ้านมาดูเสียทีหนึ่ง
........................................................
ตีพิมพ์ครั้งแรก “ฅ.คน” มกราคม ๒๕๕๒