การเรียกร้องประชาธิปไตยในลิเบียกับการเปลี่ยนแปลงที่เกินคาด...
ประชาธิปไตยที่โหยหา ตามค่านิยมชาติตะวันตก
บางครั้งอาจจะเป็น น้ำผึ้งที่หอมหวาน แต่ผสมยาพิษ ที่ออกฤทธิ์ในระยะยาว กว่าจะรู้ก็สายไป
ลองอ่านดูเรื่องราวของลิเบียจากประเทศที่มีการพัฒนา ความเจริญเติบโตมั่นคง ประชาชนกินดีอยู่ดี จีดีพีประเทศติดอันดับ 56 ของโลก ในปี 2010 แต่ประเทศไร้ประชาธิปไตย คนจึงอยากได้สิ่งที่ขาด พอได้มาประเทศพัง เพราะประเทศที่พัฒนามาได้ไม่ใช่ประชาธิปไตยเป็นแกนหลัก การให้ประเทศดำรงค์อยู่มันมีหลายปัจจัยนะครับ
#อุทาหรณ์!! "เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา" ชัย ราชวัตร
ยกบทความ นศ.ลิเบียถูกอเมริกาชักใยก่อม็อบร่วมโค่นผู้นำจนทำให้ต้องประเทศพัง! โดย wilasinee -10 สิงหาคม 2020
นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังได้โพสต์บทความลงในเฟซบุ๊กโดยเป็นการหยิบเอาบทความเกี่ยวกับเรื่องลิเบีย และเสรีภาพ นำมาให้สังคมการเคลื่อนไหวในประเทศไทยได้เห็นเป็นตัวอย่างว่า..
ประชาธิปไตยที่บางคนโหยหา…. ตัวอย่างที่น่าคิด……. ประเทศลิเบีย เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา….
ลิเบีย เป็นประเทศหลายชนเผ่า เป็นประเทศล้าหลัง ยากจน ถึงจะมีน้ำมันเยอะ แต่ชาติตะวันตกก็เป็นเจ้าของสัมปทาน ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่ไป เหลือทิ้งไว้ให้คนในลิเบียนิดเดียว กัดดาฟี่ทำการรัฐประหาร แล้วทำการยึดสัมปทานน้ำมันจากชาติตะวันตก เอาน้ำมันเข้ารัฐ ส่งผลให้ลิเบียร่ำรวยมากขึ้น กัดดาฟี่ จึงนำเอาเงินที่ได้มาให้สวัสดิการประชาชนอย่างเต็มที่ทุกคนเรียนฟรี รักษาฟรี มีเงินสนับสนุนให้ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือมีลูกและสวัสดิการอื่นๆอีกมากมาย รัฐมีเงินให้ จะสร้างบ้าน จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก รัฐให้ฟรีหมด ….. เกษตรกรไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำ แม้จะเป็นทะเลทราย แต่กัดดาฟี่จัดหาน้ำ และทำท่อส่งน้ำใต้ดินถึงที่ดินทุกแปลงจนประชากรลิเบียมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดีมาก และสูงขึ้นเป็นอันดับต้นๆของโลก… กลุ่มชนเผ่าในประเทศก็เลิกตีกัน เพราะกัดดาฟี ได้จัดการแบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันให้อย่างทั่วถึง ….มีความเป็นอยู่อย่างดีมาตลอดหลายสิบปี….. ถึงประชาชนจะสุขสบาย
แต่ก็เริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ มหาอำนาจตะวันตก สหรัฐ กับอังกฤษ เห็นว่าคนลิเบียเริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่
จึงได้โอกาสจัด "อาหรับสปริง" โดยจัดให้นักศึกษาชาวลิเบียที่ไปเรียนต่างประเทศมา….
มาเป็นแกนนำในการเรียกร้องเสรีภาพ โดยมีอเมริกาและอังกฤษเป็นอีแอบสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เกิดม๊อบเกิดจลาจลทั่วประเทศ…..
กลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสหักหลังกัดดาฟี่ เป็นกบฏต่อรัฐบาล สู้รบกับรัฐบาล ผลสุดท้ายฝ่ายทหารกบฏกับกลุ่มประชาชน นักศึกษาที่เรียกร้องเสรีภาพชนะฝ่ายกัดดาฟี่ ….
กัดดาฟี่ตาย มีข่าวว่านางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ถึงกับบินไปดูศพของกัดดาฟี่ด้วยตัวเอง พร้อมกับพูดด้วยความสะใจว่า…. ฉันมา ฉันรู้ ฉันเห็นมันตาย …..
กัดดาฟี่ตาย ไม่มีผู้นำที่เป็นคนยึดเหนี่ยวกลุ่มชนไว้ด้วยกัน…
กลุ่มชนเผ่าในประเทศแต่ละฝ่ายก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ แย่งชิงอำนาจกัน ….
เกิดสงครามรบพุ่งกันภายในประเทศตลอดเวลา ….ทีนี้ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ ต่างอพยพหนีภัยสงครามกันจ้าละหวั่น ….
ประชากรเกือบหนึ่งในสามของประเทศ ต้องอพยพหนีภัยสงครามไปต่างประเทศ ….ส่วนคนที่เหลือในประเทศ ก็ต้องประสบชะตากรรม บ้านแตกสาแหรกขาด อดอยาก หิวโหย วันๆ หลบแต่กระสุนและลูกระเบิด….
ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปรบ ผู้หญิงถูกบังคับให้บริการทางเพศ ….
มีข่าวว่าถูกจับไปขายเป็นทาสทั้งหญิงและชายอย่างลับๆในประเทศเพื่อนบ้าน ลิเบียจากประเทศที่สงบสุข ประชาชนร่ำรวย มีความสุข ปานอยู่สวรรค์ เพียงพริบตาเดียวที่กัดดาฟีตาย ……ก็กลายเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็น
จะโทษใครเล่า ก็ต้องโทษความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองที่หลงกลชาติมหาอำนาจ ผ่านมาจะสิบปีแล้ว นรกในลิเบียก็ยังดำเนินต่อไป และไม่มีท่าว่าจะสิ้นสุด แถมดูแล้ว ประเทศลิเบียก็คงจะไม่มีต่อไป คงสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินเป็นแน่แท้ โอ้อนิจจา…
เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา ประชาชนถูกปั่นหัวว่า…มันหอมหวนแสนหวานปานน้ำผึ้งนั้นมีเฉพาะในฝัน ….แต่บางครั้งมันคือน้ำกรดที่รดลงทำลายประเทศจนสิ้นทรากในพริบตา..มันคือความเป็นจริง
ขออย่าให้ประเทศไทยต้องเป็นอย่างประเทศลิเบียเลย.. ถ้าท่านเห็นว่าบทความนี้ควรจะเผยแพร่ไปยังผู้ที่กำลังคิดจะทำให้ประเทศไทยเป็นอย่างประเทศลิเบีย..
นับจากเผด็จการ “กัดดาฟี” ถูกโค่นล้ม โดยพวกนักประชาธิปไตยและนักก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศตะวันตก ทำให้สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” อดไม่ได้ที่จะต้องเสนอมุมมองไว้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจไม่น้อย ผ่านข้อเขียน บทความที่ใช้ชื่อว่า “West Should feel guilty for resumed fighting in Libya” หรือ...ประเทศตะวันตกควรที่จะรู้สึกผิดต่อการหวนกลับมาสู่การสู้รบครั้งใหม่ในลิเบีย ซึ่งใครที่สนใจคงต้องไปหาอ่านกันเอาเอง แต่โดยสรุปคร่าวๆ คงประมาณว่า ทั้งๆ ที่บรรดาประเทศตะวันตกและโดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ คือต้นเหตุ หรือ “เหตุปัจจัย” ที่ทำให้ประเทศลิเบียต้องเละๆ อยู่ในทุกวันนี้ แต่ในเมื่อลิเบียนั้นดันหมดประโยชน์ในทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือในเมื่อประเทศตะวันตกและอเมริกาดันหันไปสนใจซีเรียกันแทนที่ ขณะการสู้รบครั้งใหม่ในลิเบียอุบัติขึ้นมา ปรากฏว่านักประชาธิปไตยอย่างคุณพ่ออเมริกา กลับหันไปประกาศว่าต้องขออนุญาต “ถอนทหาร” ส่วนใหญ่ออกไปจากลิเบีย เพราะกลัวจะโดนลูกหลง หรือเพราะกลัวถูกดึงเข้าไปสู่ความขัดแย้งอะไรทำนองนั้น...
สิ่งที่ “Global Times” สรุปไว้ จึงไม่เพียงแต่ปวดแสบ ปวดร้อน แต่ยังสามารถนำมาใช้เป็นข้อคิด เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี เลยต้องขออนุญาตเรียบเรียง และตัดต่อ เอาไว้ดังนี้
“ลิเบีย...คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ นับจากเหตุการณ์อาหรับ สปริงเป็นต้นมา และกลายเป็นพื้นที่ที่ตะวันตกเลิกให้ความสนใจในทางยุทธศาสตร์ จนเมื่อเกิดความรุนแรงจากการสู้รบครั้งใหม่ รัฐบาลสหรัฐฯ กลับตัดสินใจถอนทหารส่วนใหญ่ ทิ้งแค่ทหารส่วนน้อยเอาไว้ ขณะประเทศตะวันตกที่เคยแทรกแซงลิเบีย ก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าคิดจะเข้าไปช่วยให้เกิดความสงบขึ้นมาเลย ตะวันตกไม่เคยสนใจที่จะรับรู้ถึงความเลวร้ายนับจากนั้น พวกเขาห่วงแค่เรื่องความเป็นประชาธิปไตย แต่พร้อมเดินหนีต่อความรับผิดชอบในการสร้างสังคมที่ตัวเองพยายามชี้นำขึ้นมาใหม่ พวกเขาโห่ร้องแสดงความยินดีต่ออาหรับ สปริงเมื่อ 9 ปีที่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ในทางสร้างสรรค์ขึ้นมาเลย ไม่ว่าลิเบีย-ซีเรีย หรือเยเมน ก็ยังจมอยู่กับความทุกข์ ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากตะวันตกไม่อยากจะรับผิดชอบต่อลิเบียอีกแล้ว พวกเขาก็ควรออกมายอมรับต่อโลกว่า แนวทางประชาธิปไตยตามแบบฉบับของตะวันตกนั้น ไม่ได้วิเศษวิเสโส หรือทรงพลังอำนาจแต่อย่างใด แต่กลับก่อให้เกิด...อัตราเสี่ยง...อันมหาศาล โดยเฉพาะสำหรับบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย...”