๓๐ พฤษภาคม เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓
เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระเจ้ากรุงสยามพระองค์สุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ พระองค์ทรงสละราชสมบัติ และพระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ เสด็จมาประทับ ณ ประเทศอังกฤษ เพื่อทรงเข้ารับการผ่าตัดและรักษาพระเนตร พระอาการประชวรของพระองค์กำเริบหนักขึ้นโดยลำดับตั้งแต่ธันวาคม ๒๔๘๓ แต่ก็เริ่มทุเลาขึ้นเรื่อยมา กระทั่งวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ พระองค์เสด็จสวรรคตโดยฉับพลันด้วยพระหทัยวาย ขณะที่มีพระชนมพรรษา ๔๘ พรรษา ครองราชยสมบัติได้ ๙ ปี
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ทรงจัดการพระบรมศพเป็นการภายใน เป็นไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีพระเมรุมาศ ไม่มีการบำเพ็ญพระราชกุศลทางศาสนาพุทธ เพราะไม่มีพระภิกษุ รวมทั้งไม่มีการพระราชพิธีอื่น ๆ ตามราชประเพณีด้วย เเล้วประกอบพิธีอย่างเรียบง่าย ที่นั้นต่างบ้านต่างเมือง งานพระบรมศพจัดอย่างเรียบง่ายที่สุดตามพระประสงค์ก่อนที่พระองค์จะสวรรคต ทรงสั่งไว้ว่า
“...ถ้าพระองค์สวรรคตเมื่อไร ให้ทรงพระภูษาแดง และทรงสะพักผ้าขาวผืนเดียวแล้วเอาลงหีบ แล้วจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพโดยเร็ว ไม่ต้องมีพิธีเกียรติยศอย่างใดทั้งสิ้น และขอให้เอาซอไวโอลินไปเล่นเพลงที่พระองค์โปรดเพียงคันเดียวในขณะที่กำลังถวายพระเพลิง...”
ภายหลังมา ในปี ๒๔๙๒ หลังจากการเมืองภายในประเทศสงบลง รัฐบาลได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ เสด็จนิวัตกลับราชอาณาจักรไทยเป็นการถาวร และขอพระราชทานให้ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ กลับสู่ประเทศไทย เพื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ร่วมกับสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าในพระบรมมหาราชวัง
ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างหาที่สุดมิได้