เรื่องเล่าของอักษราลัย 'เยียวยา?'
เยียวยา?
"จากที่ของเหลือเยอะมากขายไม่ออก ตอนนี้คุณยายสานไม่ทันแล้วค่ะ"
เช้าวันนี้ตื่นมาพบกับข่าวเศร้าของน้องรปภ.วัย 19 กับภาพวาดและคำตัดพ้อของน้องที่ยังตกค้างในใจ ขณะเดียวกันก็ยังซึมซับความสุขจากภาพประทับใจในเพจหมอแล็บแพนด้า โลกนี้มีสองมุมเสมอละมั้ง!!!
ฉันและคนส่วนใหญ่ในประเทศขณะนี้ ประสบชะตากรรมไม่ต่างกันนักจากภาวะโรคติดต่อโควิด-19 ทำให้มีการปิดประเทศ มีเคอร์ฟิว ห้ามออกนอกบ้าน ห้าม…. ห้าม… อีกหลายห้ามที่พยายามเข้าใจกับภาวะโรคระบาด แต่… ใครเข้าใจเราบ้างไหมนะ คนออกนโยบายมีเงินเดือน คนรับปฏิบัติ ไม่มีแม้เศษเงินในกระเป๋า
เงินสดในมือมีเหลือน้อยนิด เงินเยียวยาไม่ต้องพูดถึง การเป็นเจ้าของกิจการไม่ได้รับการช่วยเหลือ ไม่ได้เข้าข่ายใดๆ ในมาตรการของรัฐเลยสักเรื่อง ล่าสุดเกษตรกรได้ความช่วยเหลือครอบครัวละ 5,000 บาท 3 เดือน ส่วนฉันน่ะเหรอแค่ขอผ่อนผันการชำระค่างวดรถ ยังได้คำตอบมาว่า "ตามที่ท่านลงทะเบียนขอพักชำระหนี้มาแล้วนั้น บริษัทพิจารณาแล้ว ไม่เข้าเงื่อนไขโครงการช่วยเหลือผลกระทบจากโควิด-19 ของทางบริษัทฯ จึงกราบขออภัยคุณลูกค้ามา ณ ที่นี้"
ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ และทำงานให้หนักขึ้น เพื่อหาเงินอื่นมาโปะชำระค่างวดรถเทรลเลอร์ที่เคยวิ่งทำรอบได้เดือนละ 13-15 รอบ .หดเหลือเพียง 7 รอบ แต่ค่างวดยังเท่าเดิม แถมราคาค่าขนส่งก็ลดลงเพราะราคาน้ำมันลดลง
จะว่าไปการเป็นเจ้าของธุรกิจได้รับการผ่อนผันให้ยื่นชำระภาษีมูลค่าเพิ่มช้าไปได้ 1 เดือน เกือบดีใจ แต่เมื่อสอบถามบริษัทบัญชีน้องบอกว่า "ของเดือนเมษายน พี่ยืดเวลามาชำระในเดือนพฤษภาคมได้ แต่เท่ากับว่าในเดือนพฤษภาคม พี่ต้องชำระยอดของสองเดือนนะคะ คือของเดือนเมษายนและของเดือนพฤษภาคม" อ้าว! แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
ก่อนจะเข้าสู่เดือนใหม่ สุดท้ายก็มีการเคาะออกมาว่ายังคงปิดต่ออีก 1 เดือน เคอร์ฟิวยังอยู่ แต่มีการผ่อนผันให้กิจการบางประเภทเปิดได้ แต่ให้ระวัง และให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และเปิดสวนสาธารณะให้ไปออกกำลังกายได้ ฉันได้ประโยชน์ตรงสวนสาธารณะนี่เอง จะได้ไปยืดเส้นยืดสายเดินแก้เครียด
ในความมืดมนมีแสงสว่าง มีคนตั้งโครงการ จุดตะเกียงสู้โควิด พร้อมกับบอกว่า ด่าแช่งใครไปก็เท่านั้น "จุดตะเกียงดีกว่าก่นด่าความมืด" โครงการนี้แรกเริ่มรับบริจาคและจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อเริ่มมีหลายภาคส่วนเห็นและช่วยเหลือกันมากขึ้นแล้ว โครงการได้หันมาต่ออายุคนโดยการโอนเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 ให้กับคนที่ไม่ได้รับการเยียวยา ให้โดยไมีมีข้อแม้อะไร ให้ไปหลายราย และบางวันก็ยังประจายไปยังคนอื่นในจำนวนเงินที่น้อยกว่า เพื่อต่อชีวิต เงินแค่ 300 500 1,000 ต่อชีวิตคนได้ คุณเชื่อไหม? อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ตามไปหาอ่านในเพจนี้กันเองค่ะ https://www.facebook.com/109554005755256/posts/3131867053523921/
นอกจากโครงการนี้เหล่าคนดัง เหล่าสถาบันการศึกษายังช่วยกันเปิดตลาดนัด เปิดโพสให้ขายของ ให้เราได้ช่วยกันตามกำลังที่มี แม่ค้าขายแม่ค้า พี่น้องสถาบันช่วยกันซื้อช่วยกันขาย ประสบความสำเร็จมากมาย บางคนจากที่เงียบเหงา ได้เพิ่มยอดขายจนผลิตไม่ทัน อ่านแล้วช่างชุ่มชื่นหัวใจ แต่อดแปลกใจไม่ได้ โครงการแบบนี้มาจากพวกเราฝ่ายประชาชนทั้งนั้น พวกเราทำได้ แต่พวกท่านกลับเงียบงันจนน่าใจหาย
ตัวฉันเองไม่ได้มั่งมี เคยลำบากเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ เคยจนและยังจนอยู่ ฉันร่วมบริจาคเงินกับโครงการนั้น โครงการนี้ ตามกำลังที่มี และพยายามไม่ช่วยจนตัวเองเดือดร้อน ในตลาดนัดม.พ. ศิษย์เก่าโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม ฉันก็เลือกเอาสินค้าของคนอื่นไปโพสขายช่วย อย่างน้อยก็ได้ช่วยทางแรงกายด้วย ฉันจะไม่เปรียบเทียบละนะกับข่าวเงินเดือนส.ว.ที่ขอแบ่งปันมาช่วยประชาชน ที่ตอนนี้เงียบไม่ต่างกับคลื่นกระทบฝั่ง
หากวันนี้ท้อหรือเหนื่อยปานใด อย่าพึ่งหมดหวัง เฟซบุ๊คที่มีใช้ให้เป็นประโยชน์ จะโพสขายของ จะโพสขอความช่วยเหลือ ยามนี้ทุกคนเข้าใจ ไม่มีใครว่าคุณหรอก เชื่อเถอะ พยายามกันอีกนิดอย่าเพิ่งท้อแท้หรือหมดหวัง อย่าตัดสินปัญหาแบบนั้น คนรอบข้างและคนอื่นๆ ในสังคมคงไม่มีใครปล่อยให้ใครอดตาย เชื่อฉันเถอะนะ!
ทุกคนมีปัญหาต่างกัน คนรวยมีปัญหาแบบคนรวย คนจนมีปัญหาแบบคนจน ปัญหาทุกคนหนักอึ้งไม่แตกต่างกัน อย่าคิดเปรียบเทียบชีวิตเรากับชีวิตใคร เพราะที่เราเห็นชีวิตเขา … บางทีก็แค่เปลือก
อักษราลัย
๓๐ เมษายน ๒๕๖
๓