ตำนานลี้ลับผีปอบเข้ากรุง พระจูงหมา ชีอุ้มแมว
เรื่องเล่าลึกลับ (พระจูงหมา แม่ชีอุ้มแมว) จากอีสานเข้าเมืองหลวง
เด็กๆคนไม่ใช่น้อยที่ขณะนี้โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว คงเคยได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "พระจูงหมา ชีอุ้มแมว" ตำนานสุดน่ากลัว ที่ทำเอาคนประเทศไทยในสมัยนั้นไม่กล้าออกมาจากบ้านไปไหนมาไหนขณะข้างหลังดวงอาทิตย์ตกดินกันเลย
สำหรับเรื่องเล่าที่ลือกันมานานแล้ว ว่าจะมีพระลากสุนัขสีดำรวมทั้งแม่ชีอุ้มแมวสีดำ เดินคู่กันไปบ้าง หรือเดินมาลำพังๆบ้าง ไปตามบ้านต่างๆ
แล้วต่อจากนั้นทั้งสองจะเรียกหรือเคาะประตูบ้านของราษฎรในบริเวณนั้น ซึ่งถ้าเกิดผู้ใดกันที่เผลอตอบรับ หรือเปิดประตูต้อนรับพร้อมด้วยมองตาพระกับแม่ชีคู่นั้นเข้า..ก็จะตายในแบบไม่เคยรู้มูลเหตุ หรือถ้าหากคนไหนกันแน่เคยสนทนากับพระและก็แม่ชีคู่นี้ ก็ควรมีอันเป็นไปเร็วนี้ๆ รวมทั้งพอนำศพไปพิสูจน์ปรากฏว่าอวัยวะด้านในนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนว่าถูกปอบรับประทานไปหมด..
โดยจากความเลื่อมใสราษฎรตอนนั้นมีความรู้สึกว่า ทั้งยังพระลากสุนัขรวมทั้งชีอุ้มแมวนั้น
น่าจะเป็น" ผีปอบ"ประเภทนึง ซึ่งออกหากินในลักษณะที่ต่างออกไป
การที่พระลากสุนัขนั้น ด้วยความที่หมาดำราษฎรต่างมั่นใจว่าเป็นผู้แทนของผีปอบ ส่วนชีที่อุ้มแมวดำนั้น เขาว่าแมวดำเป็นยมทูตสื่อถึงความตายแล้วก็โลกของวิญญาณนั่นเอง..!!
เมื่อก่อนอื่นแอดไม่นอาจจำเป็นต้องขอชี้แจงคำว่า "ปอบ"ในแบบความคิดของคนอีสานกันก่อน ว่ามีความเป็นมาอย่างไร..
คำว่า"ผีปอบ" มีต้นกำเนิดมาจากคนที่มีวิชาไสยเวทมนต์ดำจนถึงเก่ง สามารถใช้อิทธิฤทธิ์อันเข้มขลังจากคาถาอาคมไปทำร้ายหรือทำลายชีวิตคนอื่นๆได้ ดังเช่นว่า ทำเสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอยเสกหนังควาย เสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนต์ตราบังคับวิญญาณผีไปสิงผู้ใดก็ได้
วิชาไสยเวทกลุ่มนี้มีข้อกำหนดแล้วก็ข้อบังคับดูแลอยู่ด้วย คนที่มีเวทมนตร์ทาง ไสยเวทแม้กระทำผิดข้อที่ไม่อนุญาต จะกำเนิดโทษร้ายแรงในข้อที่ผิดครู รวมทั้งจะถูกลงโทษให้แปลงเป็น "ผีปอบ"
หรืออีกชนิดหนึ่ง คนที่แปลงเป็นผีปอบเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการเล่นเวทมนตร์คาถาอย่างหลงใหล แล้วก็ใช้ความศักดิ์สิทธิ์ที่วิชามนต์ดำไปทำลายรังควานคนอื่นๆอย่างไม่กลัวบาปกลัวบาป จนกระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยศาสตร์ย์ย้อนกลับมาเข้าตนเอง จนถึงแปลงเป็น "ผีปอบ" ท้ายที่สุด
คนที่ถูกผี "ผีปอบ" สิงหรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "ผีปอบเข้า" จะมีลักษณะอาการต่างๆนาๆ บางบุคคลแสดงกิริยาท่าทางดุร้าย บางบุคคลจะนอนซมซึมคล้ายกับป่วยหนักอย่างมาก บางบุคคลจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆนานา
แม้กระนั้นไม่ว่าจะมีท่าทีอาการเช่นไร คนที่ถูกผีปอบสิงจะเรียกร้องให้นำของกินครึ่งดิบครึ่งสุกพวกหมูตับ ไก่ต้มมากิน เวลารับประทานก็จะแสดงความมูมมามตะกระ กินได้จุกว่าคนธรรมดาทั่วๆไปด้วย
ส่วนเรื่องที่ประชาชนต่างกลัว"พระลากสุนัขหรือชีอุ้มแมว"นั้น พวกเขามีความคิดว่าน่าจะเป็นผีปอบที่จำแลงกายมาในคราบเปื้อนของบรรพชิต เพื่อลวงหลอกผู้คนก่อนที่จะลงมือกระทำร้ายก็เป็นไปได้ ..!!
สำหรับเรื่องเล่า"พระอุ้มสุนัขชีอุ้มแมว" จากที่แอดไม่นเพียงพอจะเรียบเรียงได้ พบว่าเดิม เป็นเมื่อราวปี พ.ศ 2545 ได้มีเหตุนึงเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ ที่นึงใน จังหวัดสกลนคร
ตำนานเล่าว่า ณ.ช่วงเย็นได้มีรูปถ่ายนึงเดินลากสุนัขสีดำผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน ซึ่งราษฎรบ้านนอกมีความเห็นว่าระยะเวลานั้นใกล้ค่ำแล้ว ก็เลยนิมนต์ให้พระรูปดังกล่าวข้างต้นเข้ามานอนพักที่บ้านตน
จวบจนกระทั่งรุ่งเช้าพรุ่งนี้ กลับทำให้พบว่าราษฎรที่ให้พระเข้าไปนอนนั้น กลายเป็นศพนอนนิ่งเสียชีวิตกันทั้งยังบ้านแบบไม่เคยรู้ต้นสายปลายเหตุ..!! ไม่แค่นั้นพวกสัตว์เลี้ยงต่างๆที่อยู่ในบ้านก็สูญหายหายไปด้วย
หลังจากนั้นมาประชาชนในหมู่บ้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เริ่มกลัว ถ้าหากว่าใครกันแน่มองเห็นพระลากหมาดำธุดงค์เดินผ่านมาเวลาใด ก็จำเป็นที่จะต้องวิ่งหนี และก็ห้ามไม่ให้เข้ามาในบ้านตนโดยเด็ดขาด เนื่องจากพวกเขาต่างมั่นใจว่าโน่นน่าจะเป็นปอบที่เปลี่ยนร่างมาเอาชีวิตคนภายในหมู่บ้านนั่นเอง
เรื่องราวสยองขวัญกลับมาเกิดขึ้นซ้ำสองในหมู่บ้านเดียวกันอีกคราว เมื่อครั้งที่มีแม่ชีคนนึงเดินอุ้มแมวไปตามบ้านต่างๆ ซึ่งประชาชนที่ไม่ทราบเลยเปิดบ้านให้พัก ตอนเช้าก็เสียชีวิตอีกเหมือนกัน..!!
เรื่องสยดสยองขณะนั้น ก็เลยเปลี่ยนเป็นอีกทั้งพระแล้วก็แม่ชี ที่คาดว่าน่าจะเป็นผีปอบออกก่อกวนในหมู่บ้าน ตราบจนกระทั่งราษฎรรวมทั้งหมอปราบผีต่างร่วมมือกันประกอบพิธีขับไล่ไสส่งผีปอบในตามแบบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเคยเจอพระลากสุนัขหรือชีอุ้มแมวกันอีกเลย..!!
เรื่องเล่าดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เสมือนจะเงียบสงบลง แต่ว่าและก็เกิดเหตุการณ์เชิญขนหัวยืนขึ้นอีกทีในปีเดียวกันนั่นเอง..!! เมื่อมีข่าวสารปรากฏว่าเจอพระลากสุนัขแล้วก็ชีอุ้มแมวอีกคราว แต่ว่าครั้งนี้กลับมาปรากฏกายอยู่ในกรุงเทวดาแทน
เรื่องราวดังที่กล่าวมาแล้วอาจจะไม่ใช่เพียงแค่คำพูดปกติ เพราะเหตุว่าเคยจนถึงเปลี่ยนเป็นข่าวสารที่เผยแพร่ลง หนังสือพิมพ์ เวลานี้กันด้วย
เนื้อข่าวสารกล่าวว่ามีประชาชนเจอพระลากสุนัขรวมทั้งชีอุ้มแมว ซึ่งเวลานี้ได้หนีจากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งไปแอบอาศัยอยู่ที่บ้านร้างที่นึง ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านตรงข้างหลังวัดม่วง เขตหนองพระจันทร์ม แถวบางแคนี่เอง..!!
จากศูนย์ข่าวอ้างถึงว่า มีราษฎรเคยประสบพบเห็นบุคคลดังที่กล่าวมาแล้ว เดินไปๆมาๆอยู่ด้านในตรอก รวมทั้งพื้นที่ใกล้กันในเวลานั้นด้วย แม้กระนั้นก็ไม่พบว่ามีคนตายเวลานี้ กลับเปลี่ยนเป็นหมากับแมวที่อยู่ในตรอกตอนนั้นหายเรียบ..
ซึ่งประชาชนบางบุคคลมีความคิดว่า หรือโน่นน่าจะเป็นความสามารถของทั้งยังพระและก็แม่ชีที่เป็นผีปอบแน่ๆเลย..!!
พูดได้ว่าข่าวซุบซิบตอนนั้นเล่นเอาพวกเด็กๆในเมืองหลวง บางทีอาจรวมทั้งคนแก่บางบุคคลต่างพากันขวัญผวากับเรื่องเล่าที่เกิดขึ้น ไม่เท่านั้นคนแก่บางบุคคลก็มักเล่าให้เด็กฟัง ประมาณว่าเปลี่ยนเป็นนิทานหลอกเด็กไปซะอีก..
แต่เรื่องราวดังที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นที่แย้งกันในยุคนั้น กับกระแสข่าวลือการไปปรากฏอยู่ดังที่นู่นที่นี้เยอะไปหมด
เคยมีหลักฐานบันทึกเอาไว้ในหนังสือเกี่ยวกับการพบเจอ แถมยังกล่าวถึงขนาดที่ว่าครั้งนึงตำรวจยังเคยจับอีกทั้งพระแล้วก็แม่ชีที่ว่าเป็นปอบได้อีกด้วย..แต่ว่าเพียงพอเผลอประเดี๋ยวเดียว ทั้งสองก็หายไปอย่างเร็วจากสถานีตำรวจ เหลือทิ้งเอาไว้แค่เพียงแมวกับสุนัขให้ได้มองต่างหน้าเพียงเท่านั้น
จนตราบเท่าเรื่องเล่าดังที่กล่าวถึงมาแล้วเบาๆเงียบหายไปเองตามเวลา บ้างก็ว่าพระลากหมากับชีอุ้มแมวนั้น ได้หนีไปอยู่ที่อื่นๆแล้ว ก็เลยไม่มีผู้ใดประสบพบเห็นทั้งสองอีก
ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่ขาดหลักฐานชัดแจ้ง