Drama-addict โพสต์น่าสนใจ....
ขอแยกโพสเลย กันเหนียวเผื่อต้นโพสปลิว
สืบเนื่องจากภาพ "ประชาชนโง่เราจะตายกันหมด
มีประเด็นขอโต้แย้งดังนี้
1. การปิดประเทศ ในส่วนนี้ ตปท ใช้คำว่า lockdown
ซึ่งมีทั้งการปิดประเทศไม่รับชาวต่างชาติจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และปิดสถานที่ที่คนไปชุมนุมกันเยอะๆ เช่น โรงเรียน เพื่อให้เกิด social distance ซึ่งมันจะลดการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งการทำแบบนั้น ถ้ารัฐบาลมีมาตรการที่ดีพอ มีการเตรียมระบบโลจิสติคที่ดี ระบบการผลิตลำเลียงอาหารสดยังลำเลียงต่อไป (ซึ่งไทยได้เปรียบกว่ามากในแง่กำลังการผลิตอาหารสด) คนไม่มีทางอดตาย ธุรกิจอาจเสียหาย แน่นอน แต่มันคือการ cut loss ความเสียหายไม่ให้ลุกลามบานปลายมาก ให้ความเสียหายเกิดระยะสั้นที่สุด เพื่อเตรียมฟื้นฟูความเสียหายกันในอนาคต ในช่วงแรกมีเพียงเกาหลีเหนือที่ปิดประเทศ จริง แต่ปัจจุบันประเทศในแถบยุโรปและเอเชียมากมาย ต่างใช้มาตรการปิดพรมแดน ล๊อคดาวน์ประเทศเรียบร้อยแล้ว เพราะเห็นตัวอย่างจากอู่ฮั่นมาว่า วิธีนี้มันเวิร์คจริง
2. ประเด็นการปิดบังตัวเลขผู้ติดเชื้อ ประเด็นคือ ขั้นตอนนี้ของบ้านเราจะใช้การคอนเฟิร์มเคสสองหน ก่อนจะเปลี่ยนจาก PUI มาเป็นยอดผู้ติดเชื้อ ซึ่งในประเทศจีนตอนเกิดการระบาดหนัก เขาเปลี่ยนเกณฑ์จากสองหน มาเป็นหนเดียวก็ให้รายงานเป็นยอดผู้ติดเชื้อได้เลย เพื่อความไวในการจำกัดวงการติดเชื้อ ประเด็นนี้ ก็เป็นหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจในขั้นตอนการทำงาน จะโทษประชาชนคงไม่ได้ เพราะแม้แต่หมอพยาบาล ถ้าไม่ใช่คนที่รู้แนวทางปฎิบัติด้านควบคุมโรค ก็อาจไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้
3. แนวทางของเยอรมันว่าจะไม่ปิดประเทศ ไม่ล๊อคดาวน์ แล้วทำไมเราต้องล๊อคดาวน์ด้วย เราเก่งกว่าเยอรมันเหรอ?
แนวทางปฎิบัติรับมือกับ covid-19 ตอนนี้ค่อนข้างใหม่มาก เพราะทุกประเทศเจอปัญหานี้พร้อมๆกันเป็นหนแรก
ยากจะบอกว่าทำแบบไหนผิดแบบไหนถูก แต่เรามีตัวอย่างสองประเทศที่ใช้แนวทางล๊อคดาวน์แล้วได้ผล คือจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งสถานการณ์เริ่มดีขึ้นอย่าชัดเจน ควรเลือกยึดแนวทางตามประเทศที่ประสบความสำเร็จและรอดพันหายนะนี้แล้ว และเลือกแนวทางให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่มีในประเทศ ว่าพร้อมใช้นโยบายนั้นหรือไม่
ส่วนกรณีของเยอรมัน แม้จะไม่ปิดประเทศ แต่ได้มีการเตรียมความพร้อมในการ กักตัวผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อที่บ้านอย่างโคตรเข้มงวด (ซึ่งถ้าเขาคาดว่าระบบที่มีของเขา ซึ่งการแพทย์เยอรมันนี่อันดับต้นๆของโลก สามารถเอาอยู่ แล้วจะใช้วิธีการนี้ก็ไม่ผิด)
และเยอรมันได้มีการเตรียมสรรพกำลังมหาศาล เช่น สั่งผลิตเครื่องช่วยหายใจเพิ่มหมื่นเครื่องจากบริษัท Drägerwerk เพื่อเตรียมรับสถานการณ์กรณีเลวร้ายที่สุดแล้ว
หรืออย่างของเกาหลีใต้ เขาก็นอกจากจะปิดประเทศแล้ว ยังใช้วิธีกวาดตรวจคนทั้งหมดที่ต้องสงสัย งบประมาณมีเท่าไหร่ เทไปให้หมด เพื่อระบุตัวผู้ติดเชื้อให้ได้ให้เร็วที่สุด จะได้จำกัดวงความเสียหายไว้ได้
สรุปคือ แต่ละประเทศที่ว่ามา เขามีแนวทางชัดเจนแล้วว่า เอาไงต่อ เราจะเดินไปทางไหน แบบที่นายกสิงคโปร์ ลี เซียนลุง ออกมาแถลงทีไร คนฟังก็เห็นภาพว่า จะเอายังไงต่อเป็นสเต็ปๆต่อไป แล้วประเทศเราได้เห็นใครทำอะไรแบบนี้หรือยัง
ประเด็นความไม่ร่วมมือของนักท่องเที่ยวผู้ติดเชื้อบางคนที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดหรือ super spreader เป็นเรื่องที่ควรถูกตำหนิจริง แต่โดยรวมถือว่าประชาชนชาวไทยส่วนมาก มีความตื่นตัวในการรับมือ covid-19 สูงมาก อันนี้ต้องชื่นชม และที่สำคัญคือโดยความเห็นส่วนตัว ประชาชน พร้อมกว่ารัฐบาล
ส่วนรัฐบาล ที่ทำหน้าที่ได้ดีคือมดงาน ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารตัวเล็กๆ ส่วนระดับนายกฯเอย รมต เอย อันนี้อย่าให้พูดเลย เด๋วกรูขึ้น เอาเป็นว่า
ไอ้เจ้าของบทความนั้นพูดถูกตรงที่ว่า เราโชคดีมาก ที่อยู่ในประเทศที่มีความพร้อมด้านการควบคุมโรคเป็นอันดับต้นๆ
แต่ความพร้อมนั้น ขอยกความดีความชอบทั้งมวลให้แก่ จนท ผู้เสียสละ มดงาน จนท ควบคุมโรค จนท หน้าด่านไม่ว่าจะ ตม การท่า ที่ปฎิบัติหน้าที่ท่ามกลางความโกลาหลอย่างแข็งขัน
แต่ไม่รวมถึงนายกและ รมต เพราะกรูยังไม่เห็นว่า นายกได้แสดงความเป็นผู้นำที่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่น และมั่นใจว่าเราจะสู้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้ มีก็เหมือนไม่มี เหมือนเห็นค่ายบางระจันที่ต่างค่าย ต่างหมู่บ้านต่างสู้กันจนสุดชีวิต
ก็ฝากถึงพ่อแม่พี่น้องว่า ไม่เชื่อมั่นนายก ไม่เชื่อมั่นรัฐบาล ว่าจะรับมือปัญหา covid-19 ได้ ก็ไม่ผิด เพราะกรูก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
แต่ขอให้มั่นใจในกรมควบคุมโรค มั่นใจในมดงาน มั่นใจในตัวคนไทยทุกคน ว่าถ้าเราร่วมมือร่วมใจกัน เราจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน