คดีดังเจ้าพ่อ แดง โคกปีบ
แดงถูกอริยิงจนข้อศอกขวาบิดเบี้ยวใช้งานได้ไม่ดี ขณะที่กะโหลกศีรษะก็มีเม็ดตะกั่วฝังอยู่ แต่เขาก็ยื้อชีวิตหลุดรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ทุกครั้ง
เมื่อช่วงปี พ.ศ.2520 ในพื้นที่ภาคตะวันออกโดยเฉพาะใน จ.ปราจีนบุรี เมื่อเอ่ยชื่อ "แดง โคกปีบ" ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาคือมือปืนแถวหน้าที่เหล่าบรรดาผู้มีอิทธิพลและผู้กว้างขวางยังต้องยอมเรียกพี่
"แดง โคกปีบ" เป็นฉายาของนายคนึง ซุงเค้า บุตรคนโตในพี่น้อง 3 คน ของครอบครัวชาวจีนแคะ ที่อาศัยบ้านพักในชุมชนเล็กๆ ละแวกวัดม่วงขาวแก้วพิกุล ต.โคกปีบ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี เป็นแหล่งพักพิง
ชีวิตในวัยเด็ก "แดง โคกปีบ" ค่อนข้างลำบาก เรียนจบแค่ชั้น ม.3 ก็ต้องออกมาขับรถบรรทุกข้าวเปลือกตระเวนขายตามตลาดนัด แต่ด้วยเป็นคนที่ใจถึง รักพวกพ้อง จึงทำให้ "แดง" มีพรรคพวกเพื่อนฝูงมากหน้าหลายตา กระทั่งถูกชักนำให้ไปพบกับ "เสือฝน คนมา" เจ้าของฉายาขุนโจรร้อยศพ หัวหน้าซุ้มมือปืนผู้โด่งดังในภาคตะวันออกในยุคนั้น
"แดง" ได้รับมอบหมายจาก "เสือฝน" ให้ทำงานสังหารใครต่อใครหลายคน แต่หลังจากตำรวจมือปราบ "ธนู หอมหวล" เจ้าของฉายาเชอร์ล็อกนู ถูกย้ายเข้ามาในพื้นที่ปราจีนบุรี "แดง โคกปีบ" ก็ถูกเรียกเข้าพบ และต่อมาเขาก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ช่วยราชการตำรวจในด้านสืบสวนสอบสวนให้แก่นายตำรวจผู้นี้อยู่ระยะหนึ่ง
"การเข้าไปซุกปีกนายตำรวจใหญ่ในครั้งนั้นทำให้แดงยกฐานะกลายเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ นอกเหนือจากการช่วยราชการตำรวจแล้ว เขายังผันตัวเองไปเป็นผู้รับเหมาถมที่ดิน จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักใน จ.ปราจีนบุรี และใกล้เคียง" อดีตมือปืนผู้ใกล้ชิด "แดง โคกปีบ" เล่าถึงเรื่องราวในอดีต
เขาบอกด้วยว่า ในช่วงปี 2520 จ.ปราจีนบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา เต็มไปด้วยนักเลงและผู้มีอิทธิพล กฎหมายเข้าไม่ค่อยถึง ปัญหาทุกสิ่งแก้ได้ด้วยลูกปืน โดยมีผู้ทรงอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มเจ้าแม่เขาหินซ้อน กลุ่มเจ้าพ่อพุทธ และ แดง โคกปีบ ทั้ง 3 กลุ่มทำธุรกิจเดียวกันคือรับเหมาถมที่ ส่วนความร่ำรวยของแต่ละกลุ่มว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับวงการค้าอาวุธ รวมไปถึงสินค้าที่ลักลอบนำเข้าจากฝั่งกัมพูชา
ประมาณปี 2526 "แดง" เข้าไปทำธุรกิจนายหน้าส่งคนงานไปต่างประเทศในแถบตะวันออกกลาง และเข้าไปพัวพันกับคดียักยอกเงินค่าจ้างส่งคนงานไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบีย ก่อนที่จะเข้ามอบตัวต่อสู้คดีอยู่ 3 เดือนก็ได้รับอิสรภาพ
3 ปีหลังจากนั้น แดงผันตัวเองเข้าสู่เวทีการเมือง ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นการวัดรอยเท้านักการเมืองท้องถิ่น อย่างเจ้าพ่อพุทธ ที่โด่งดังในยุคนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
การแข่งขันอันดุเดือด ทำให้ "แดง" ตัดสินใจเข้าร่วมกับเจ้าแม่เขาหินซ้อน ที่เป็นอริทางธุรกิจที่ดินกับเจ้าพ่อพุทธมาก่อน และมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับบุตรชายเจ้าแม่เขาหินซ้อน ซึ่งเป็นตำรวจอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นคนที่ใจถึงและรักพวกพ้อง
ในช่วงเวลานี้ "แดง" มีชื่อเข้าไปพัวพันกับคดีรับจ้างฆ่าหลายคดี ซึ่งแต่ละคดีล้วนแล้วแต่อุกฉกรรจ์ทั้งสิ้น จนชื่อของเขาปรากฏอยู่ในบัญชีดำของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2
ขณะที่สงครามล้างตระกูลระหว่างเจ้าแม่เขาหินซ้อนกับเจ้าพ่อพุทธ ระอุขึ้นทุกวัน บรรดามือปืนและสมาชิกคนในครอบครัวของสองตระกูลล้มหายตายจากไปราวกับใบไม้ร่วงและหนึ่งในนั้นก็คือ เจ้าพ่อพุทธ อริทางการเมืองของ "แดง โคกปีบ" รวมอยู่ด้วย
ทายาทของเจ้าพ่อพุทธ เดินหน้าชำระแค้นให้บิดา โดยเป้าสังหารคือ คนในตระกูลเจ้าแม่เขาหินซ้อน และ "แดง โคกปีบ" ซึ่ง "แดง" ถูกอริยิงจนข้อศอกขวาบิดเบี้ยวใช้งานได้ไม่ดี ขณะที่กะโหลกศีรษะก็มีเม็ดตะกั่วฝังอยู่ แต่เขาก็ยื้อชีวิตหลุดรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ทุกครั้ง
ความแค้นระหว่าง "แดง" กับทายาทเจ้าพ่อพุทธ ปิดฉากลงด้วยความตายของคู่อริ โดยว่ากันว่าทายาทเจ้าพ่อพุทธตายเพราะคนใกล้ชิดของ "แดง โคกปีบ" นั่นเอง
หลังอริสิ้นชื่อ "แดง โคกปีบ" ได้รับเลือกเป็น ส.จ.ปราจีนบุรี แต่ก็ต้องย้ายออกจากบ้านพักหลังเดิมที่ ต.โคกปีบ เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะขยับขยายไปกว้านซื้อที่ดินใน อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี เพื่อทำไร่มะขาม แล้วขยับขยายไปเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินและค้าไม้ สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้กว้างขวางใน จ.กาญจนบุรี ที่ทำมาหากินอยู่ก่อน
16 ตุลาคม 2538 หลังจากแดงเข้าไปทำมาหากินใน จ.กาญจนบุรี ยังไม่นานนัก รถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ของ "แดง โคกปีบ" ถูกทีมสังหารใช้เอ็ม 16 และจรวดอาร์พีจี ยิงถล่มเสียหาย โชคดีที่วันนั้น "แดง" ไม่ได้อยู่ในรถยนต์คันดังกล่าว แต่ก็มีลูกน้องคนสนิทเสียชีวิตไป 2 คน บาดเจ็บสาหัสอีก 2 โดย "แดง" ประกาศจะล้างแค้นให้สาสม แต่ไม่ทันลงมือก็ถูกสังหารเสียก่อน
จุดจบของ "แดง โคกปีบ" เกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 5 กันยายน 2539 ขณะ "แดง" กำลังขับรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ทะเบียน 2ฐ 7366 กรุงเทพมหานคร ออกจาก "ไร่สุดแดนสยามฟาร์ม" ใน อ.ด่านมะขามเตี้ย เพื่อไปทำธุระที่บ้านห้วยน้ำขาว หมู่ 10 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยมี นางสุภาพร ซุงเค้า ภรรยา นั่งเคียงข้าง แต่ไม่ถึงที่หมายเพราะถูก 4 มือปืนที่ใช้รถกระบะมิตซูบิชิป้ายแดงดักยิงถล่มด้วยปืนเอ็ม 16 ขณะรถของเขาวิ่งผ่านสี่แยกลำทราย ถนนสายบ้านเก่า-ชายแดนไทยพม่า
"แดง" พรุนไปทั้งร่าง เสียชีวิตคาที่ ขณะที่ภรรยาบาดเจ็บสาหัส
หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.ไพบูลย์ สิงหวณิช รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี (ตำแหน่งในขณะนั้น) ระดมกำลังออกไล่ล่าคนร้ายด้วยตัวเอง แต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้เป็นเวลากว่า 12 ปี ก็ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ โดยในทางสืบสวนตำรวจเชื่อว่าคำสั่งฆ่ามาจากผู้กว้างขวางในวงการค้าไม้ซึ่งไม่พอใจที่นักเลงต่างถิ่นลูบคม
ระยะแรกบุตรชายและญาติของ "แดง โคกปีบ" คิดที่จะล้างแค้นให้เขาเช่นกัน แต่ทำไม่ได้เนื่องจากคู่อริมีอดีตบิ๊กทหารผู้กว้างขวางรวมอยู่ด้วย จึงทำได้เพียงหันหลังให้ความแค้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเลี้ยงชีวิตและครอบครัว ปัจจุบันบุตรชายของแดงและสมาชิกครอบครัวส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอยู่ใน กทม. โดยเฉพาะในย่านประตูน้ำ
ก้าวย่าง "แดง โคกปีบ"
อดีตมือปืนซุ้มปราจีนบุรี ซึ่งปัจจุบันหันหลังให้แก่ยุทธจักรสีเลือด ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป เล่าว่าในยุค 2520 ไล่มาจนถึง 2539 ในทำเนียบมือปืนชั้นนำของประเทศไทย มี 2 ซุ้มใหญ่ที่ได้รับการยอมรับว่า ใบสั่งตายทุกใบที่มือปืน 2 ซุ้มนี้ตกลงรับงาน จะถูกปิดบัญชีอย่างเด็ดขาดและรวดเร็วคือ ซุ้มปราจีนบุรี ที่นักฆ่าหลายคนอาศัยร่มเงาของ "แดง โคกปีบ" และซุ้มเมืองเพชร นำโดย "แจ๊ค เพชรบุรี"
ในวงการรู้กันดีหากเหยื่อถูกสังหารด้วยปืนพกสั้นขนาด 11 มม. หรือเอ็ม 16 สันนิษฐานได้เลยว่าเป็นฝีมือของยมทูตค่าย "แจ๊ค เพชรบุรี" แต่หากเหยื่อถูกถล่มด้วยปืนอาก้า หรือระเบิด ร้อยทั้งร้อยเป็นฝีมือของซุ้มปราจีนบุรี
สมัยที่ "แดง" เรืองอำนาจ เขามีคู่หูเปรียบเสมือนเงาตามตัวคือ "ไผ่ ชะเลือด" ซึ่งฝีมือสังหารเหยื่อฉกาจฉกรรจ์ กระทั่งยุค รสช.เรืองอำนาจ มีนโยบายกวาดล้างมือปืนและกลุ่มผู้มีอิทธิพล บรรดามือปืนและผู้กว้างขวางถูกปิดบัญชีไปจำนวนมาก ที่หลงเหลืออยู่ก็ต้องเข้าไปซุกปีกบรรดานักการเมือง หรือไม่ก็ล้างมือไปจากวงการ
"ซุ้มของแดงส่วนใหญ่ย้ายไปอยู่ที่ อ.ปลวกแดง อ.แหลมสิงห์ หรือไม่ก็ไปอยู่กับ "ซุ้มบ้านใหญ่" และนักการเมืองตระกูลดังภาคตะวันออก บางรายล้างมือจากวงการไปซุกตัวทำไร่ทำสวนอยู่อย่างเงียบๆ ใน จ.เพชรบูรณ์" อดีตมือปืนผู้ใกล้ชิด แดง โคกปีบ กล่าว
เขาบอกด้วยว่า หลังจาก "แดง โคกปีบ" ถูกยิงตาย ผู้ที่ขึ้นมาแทนคือ "หมู อาก้า" หรือนายประสงค์ เสียงจันทร์ ผู้ต้องหาในคดีระเบิดฆ่านางปัทมา เฟื่องประยูร และสังหารนายโชคชัย สินธิทรัพย์ หรือ ต้อย นาทีทอง เซียนม้าคนดังแห่งนครราชสีมา