ว่าด้วยเรื่องกฎหมายครอบครัวสมัยอยุธยา
วันนี้ได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายการครองเรือนของชายหญิงสมัยอยุธยา พบว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจ จึงขอหยิบยกมาเขียนกระทู้ให้ทุด ๆ คนได้อ่านกันนะคะ
ด้วยความที่สมัยก่อนผู้ชายจะเป็นผู้นำ ในหลายๆ ด้าน ทั้งงานราชการ การสู้รบ ผู้หญิงจึงกลายเป็นกำลังสำคัญในการผลิตกำลังคน (ลูก) ดังนั้นในสมัยก่อน การที่ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ เพราะเขาทำไปด้วยหน้าที่ ไม่ใช่เพราะความใคร่เพียงอย่างเดียว แถมใครที่มีภรรยาเยอะๆ ยังแสดงถึงฐานะทางสังคมอีกด้วย (ถ้าขุนนางคนไหนไม่มีเมียน้อย จะโดนนินทาและถือว่าผิดปกติทางเพศ) ดังนั้นผู้หญิงที่เป็นภรรยาของผู้ชาย จึงกลายเป็นสมบัติของสามีไปโดยปริยาย หากคิดคบชู้ จะต้องโดยลงโทษอย่างหนัก
กฎหมายลักษณะผัวเมีย
1. หญิงอันบิดามารดากุมมือให้เป็นเมียชาย ได้ชื่อว่าเป็น “เมียกลางเมือง” คือ ผู้หญิงที่พ่อแม่ไปสู่ขอมาให้ ถือเป็นเมียกลางเมือง หรือ “เมียหลวง” มีเกียรติสูงสุดในบรรดาเมียทั้งหมด และผู้ชายสามารถมีได้คนเดียว
2. ชายขอหญิงมาเลี้ยงเป็นอนุภรรยา หลั่นเมียหลวงลงมา ให้ชื่อว่าเป็น “เมียกลางนอก” หรือเรียกอีกอย่าง “เมียน้อย” คือ ผู้หญิงที่ผู้ชายไปสู่ขอมาจากพ่อแม่ จึงมีหน้าตาพอสมควร เมียประเภทนี้จะมีกี่คนก็ได้ ขึ้นอยู่กับฐานะและความพอใจ
3. หญิงใดมีทุกข์ยาก ชายช่วยไถ่ได้มาเห็นหมดหน้า เลี้ยงเป็นเมียได้ชื่อว่า “เมียกลางทาสี” คือ เมียที่ผู้ชายไปซื้อหรือไถ่ตัวมาจากบ้านมูลนายคนอื่นๆ หรืออาจเป็นคนใช้ที่ทำงานรับใช้อยู่ที่บ้านของตน หากเจ้านายพอใจก็จะได้รับการชุบเลี้ยงเป็นเมีย เมียชนิดนี้จะมีสักกี่คนก็ได้ แต่เมียกลางทาสี ก็ยังคงต้องทำงานบ้านงานเรือนตามปกติเหมือนเดิม
ส่วนเมียที่มีศักดิ์ใหญ่ที่สุด คือ “เมียพระราชทาน” ซึ่งจะเป็นเมียที่ในหลวงพระราชทานให้ มักเป็นผู้หญิงจากตระกูลสูง เช่น พระธิดา หรือเจ้าหญิงจากเมืองประเทศราษฎร นอกจากจะใหญ่กว่าเมียประเภทอื่นแล้ว สามีต้องให้ความเกรงใจ ต้องพูดจาปราศรัยอย่างสุภาพ ถนอมน้ำใจตลอดเวลา หากเมียพระราชทานทำความผิด สามีก็ไม่มีสิทธิทำโทษรุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บล้มตาย
เป็นชู้ถึงชำเรา (ได้เสียกัน)
1. ให้สร้างความอับอายด้วยการเอาเฉลวปะหน้า ทัดดอกชบาแดงที่หูสองข้าง แล้วร้อยดอกชบาเป็นมาลัยคล้องไว้ที่คอ พาแห่ประจานในตลาดและชุมชน ส่วนชายชู้เสียแค่เงินค่าปรับเพียงอย่างเดียว หากถูกจับได้แล้วยังเป็นชู้ซ้ำกับหญิงคนเดิม ให้ลงโทษปรับไหมให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
2. หากหญิงมีชู้กับชาย 2 คน กฎหมายให้ลงโทษด้วยการจับโกนหัวเป็นตะแลงแกง (โกนผมเป็นรูปกากบาท) เอาผู้หญิงขึ้นขาหยั่งแล้วพาแห่ประจานไปรอบตลาด
3. หากหญิงมีชู้มากกว่า 2 คนขึ้นไป กฎหมายถือว่าเป็นหญิงแพศยา ชายที่เป็นชู้ด้วย จะไม่ถูกลงโทษใดๆ เพราะถือว่าผู้หญิงนั้นส่ำส่อน ทำตัวชั่วช้า นอกจากผู้หญิงจะโดนโกนหัวแห่ประจานแล้ว จะยังถูกสักรูปชายหญิงที่กำลังประกอบกามกิจไว้บนแก้ม ไปที่ไหนก็จะมีคนเห็นและรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่ดี ส่ำส่อน ไม่ควรคบหาให้เป็นกาลกิณี
**** สำหรับผัว ถ้ายังรักเมียที่มีชู้ ไม่อยากให้ถูกแห่ประจาน ก็สามารถนำเอาเงินมาเสียค่าปรับแล้วไถ่เอาตัวเมียคืนไปได้ เว้นเสียแต่ว่าเมียแพศยา (เมียที่มีชู้มากกว่า 2 คน) หากผัวยังลุ่มหลง เอาเงินมาไถ่ตัว กฎหมายถือว่าเป็นชายโง่บัดซบ ให้จับมาสักรูปอุบาวท์ไว้บนแก้มด้วย
อ้างอิงจาก: ย้อนรอยประวัติศาสตร์ยุคใหม่ในสยาม.