คนไทยเห็นใจ!"ฟ้าใส"เผยเหตุการณ์ในกองฯเพื่อนนางงามไม่คุยด้วย
แฟนๆ นางงามรวมตัวกันกว่า 5000 ชีวิต ณ สนามบินเพื่อมารอรับขวัญใจชาวไทย “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2019 กลับเมืองไทย หลังจากที่ประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2019 จัดขึ้น ณ เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โดยที่ ฟ้าใส เข้ารอบลึกได้เพียง TOP5 จากก่อนหน้าเป็นตัวเก็งว่าจะได้ที่1 แม้จะชวดมงฯ แต่ก็ยังได้ใจแฟนๆ ที่ต่างก็เห็นในความพยายามและทุ่มเท
ฟ้าใสเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้คนไทยผิดหวัง ไม่สามารถคว้ามงกุฎมาครองได้ แต่ก็ยืนยันว่าทำดีสุดแล้ว เผยอยู่ในกองสุดกดดันเพราะเพื่อนๆนางงามไม่คุยด้วย ตนเดาว่าคงเป็นเพราะสปอนเซอร์เข้ามาหาตนเยอะ เพื่อนๆเลยอิจฉา จึงฝากถึงนางงามรุ่นน้องต่อๆไปว่า " ต้องตรองเท่านั้น "
นอกจากคนไทยหลายพันคนแล้วยังมี “ลูกเกด เมทินี กิ่งโพยม” ในฐานะ Head Master ของ Expert team หรือกลุ่มพี่เลี้ยงนางงาม ที่คอยเทรนฟ้าใสมาตั้งแต่ต้น ก็มาคอยต้อนรับด้วยเช่นกัน หลังจากนั้น ฟ้าใสจึงได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า
"ภูมิใจมากๆ เลยค่ะ ท็อป 5 มิสยูนิเวิร์ส 2019 ตอนนั้นคือถ้าได้เข้าก็ดีใจค่ะ แต่ถ้าไม่ได้เข้าก็ภูมิใจอยู่แล้วค่ะ เพราะว่าตอนนั้นมีตัวเก็งอยู่เยอะเหมือนกัน และการตอบคำถามแต่ละคนก็ตอบได้ดีมาก ก็อยู่ที่คณะกรรมการจะชอบคำตอบแบบไหนมากกว่า"
"ถามว่าเข้ารอบลึกๆ กดดันไหม ณ ตอนนั้นพอรอบ 20 แล้วเข้ารอบ 10 และตัวเต็งหลายๆ คนเริ่มหลุดไป ก็เริ่มหวั่นใจเหมือนกันนะคะ เพราะหนูเข้ารอบ 10 คนไปในคนที่ 9 ก็คิดว่าขอให้เข้าไปได้เรื่อยๆ (หัวเราะ) อย่างน้อยพอได้เข้าไปรอบ 5 คนก็ดีใจมากๆ ค่ะ เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวในเอเชียด้วย"
"ไม่ได้ไปต่อก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ เพราะหนูรู้สึกว่าหนูทำเต็มที่ทุกวันและทุกก้าวแล้ว แต่ถ้าหนูไม่เต็มที่หนูก็จะผิดหวังว่าทำไมวันนั้นฉันไม่ทำให้ดีกว่านี้ แต่หนูว่าวันนั้นหนูทำเต็มที่มากๆ แล้วหนูก็ภูมิใจมากๆ ค่ะ"
พูดถึงอาการเจ็บตา
"ถามว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ต้องเล่าให้ฟังว่าช่วงประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ตอนนั้นมิถุนายน ก็เพิ่งกลับมาจากพัทยา ช่วงเก็บตัวเขาให้ใส่คอนแทคเลนส์ใส ซึ่งหนูเป็นคนที่มีปัญหากับคอนแทคเลนส์ใสมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และช่วงนั้นนอนน้อยด้วย กิจกรรมเยอะด้วย และใส่คอนแทคเลนส์ตลอด ก็เลยทำให้ตาแห้ง กลายเป็นว่าเราถอดคอนแทคเลนส์ไม่ได้ ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอช่วยถอดออก"
"และหลังจากนั้นกระจกตาก็เลยถลอกมาตั้งแต่ตอนนั้น เราก็พยายามรักษา แต่กลายเป็นว่าเหมือนรักษาไม่ถูกทาง แล้วพอไปหาหมอหลายๆ คนเขาก็แนะนำว่าทำไมไม่ทำเลเซอร์ล่ะ ซึ่งมันแตกต่างจากเลสิกเนื่องจากเลสิกจะต้องทำให้แผลถลอกหายก่อน และช่วงทำเลเซอร์นั้นหมอก็เลยแนะนำว่าในเมื่อเจ็บตัวแล้วก็ปรับสายตาไปเลย เราจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องคอนแทคเลนส์อีก ซึ่งตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะทำวันที่ 8 พ.ย. แต่เนื่องจากว่าวันที่ 19 ต.ค. เขาประกาศมาว่าจะประกวดแล้วนะ แล้วเลเซอร์ชนิดนี้ต้องใช้เวลา 10 วัน และพักผ่อน 7 วันห้ามออกกำลังกาย ห้ามแต่งหน้า มันก็เลยขึ้นอยู่กับว่าหนูจะเลือกตาหรือเลือกที่จะเตรียมตัวเพื่อจะไปมิสยูนิเวิร์ส"
มีข่าวว่าเพื่อนๆอิจฉาถึงขั้นไม่คุยด้วย?
"ถามตรงๆ ก็ตอบตรงๆ นะคะ หนูไม่เคยรู้สึกเลย จนกระทั่งวันที่ช่างแต่งหน้าสกินแคร์เขาก็เรียกหาว่าไทยแลนด์อยู่ไหน ห้องก็เงียบสนิท ทุกคนก็หันมามอง หนูก็เลยรู้สึกตอนนั้นเลย รู้สึกว่าทำไมเจาะจงไทยแลนด์ อันนี้หนูก็รู้สึกอึดอัดว่าทำไมเจาะจงหนู แต่ก็ต้องเข้าใจว่าคือคนเล่าให้ฟังนะคะว่าหนูมีฟอลโลเวอร์มากที่สุด เขาก็เลยอยากจะขายผลิตภัณฑ์ของเขา ก็ไม่ได้เจาะจงไทยแลนด์โดยเฉพาะ แต่เจาะจงนางงามที่มีฟอลโลเวอร์มากที่สุดค่ะ"
"การตอบรับจากเพื่อนนางงามในช่วงวันนั้นอาจจะมีนิดนึงที่ไม่อยากจะคุยด้วย แต่เพื่อนที่สนิทอย่างญี่ปุ่น ลาว เมียนมา สวีเดนเขาก็เหมือนเดิม เขามาเขาก็อยากได้มิตรภาพที่ดีและประสบการณ์ที่ดี เขาก็ทำเต็มที่ของเขา และรู้ว่าไม่ใช่สปอนเซอร์ที่เป็นคนตัดสินใจว่าใครจะชนะ เพราะจะเป็นคณะกรรมการมากกว่า ถามว่าไม่มีใครแกล้งเราใช่ไหม ไม่มี เท่าที่หนูรู้นะคะ (หัวเราะ)"
ได้คุยกับมิสแอฟริกาใต้บ้างมั้ย?
"ไม่ค่อยได้คุยกันมากค่ะ เพราะตอนทำกิจกรรมเราแยกกลุ่มกัน ก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุบกับเขามากเท่าไหร่ แต่ก็ยินดีนะคะ เพราะเขาตอบคำถามได้ดีมากจริงๆ ค่ะ"
พร้อมฝากถึงน้องๆ
"เธอต้องสตรองมากๆ พูดได้คำเดียวคือสตรองมาก ถ้าอันนี้ไม่ใช่ฝันของเธอจริงๆ ก็คงไม่ไหว อันนี้พูดจริงๆ เลย แต่ถ้าเป็นฝันของคุณเชื่อเลยว่าน้องๆ จะเต็มที่มากๆ และจะทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวเอง เพราะว่าไม่มีใครที่รู้จุดด้อยของเรามากกว่าตัวเองแล้ว"
"พอคนจับจ้องก็ไม่มีความกดดันจากแฟนๆ ค่ะ กลายเป็นว่ามาจากตัวเรามากกว่า เพราะเราก็อยากจะทำให้ดีที่สุด เพราะเราก็หวังไว้มาก แต่ในความกดดันเราก็ต้องมีความพอดีเหมือนกัน เพราะส่วนตัวหนูเวลากดดันจะอึดอัดและไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็ต้องมีการผ่อนคลาย ร้องเพลง เต้นบ้าง"