เลือกบริษัทรับสร้างบ้านทั้งทีต้องตรวจสอบอะไรบ้าง
การสร้างบ้านถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งต้องให้ความใส่ใจในเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพราะการสร้างบ้านต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็จะคุ้มมาก ๆ เช่นกัน เพราะบ้านสามารถใช้งานได้ในระยะยาวหลายปียิ่งถ้าได้บริษัทรับสร้างบ้านที่ดีสร้างออกมาได้อย่างมีคุณภาพ อาจจะทำให้อายุการใช้งานของบ้านนั้นอยู่ไปอีกหลายสิบเลยเลยก็ว่าได้ ดังนั้นควรที่จะต้องใส่ใจในการเลือกบริษัทรับสร้างบ้านมาก ๆ เพราะถ้าได้บริษัทรับสร้างบ้านมาไม่ดีก็จะมาเป็นปัญหาให้กับผู้ที่จะสร้างบ้านได้ทั้งปวดหัวและต้องเปลืองค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งการที่จะได้บริษัทรับสร้างบ้านที่ดีเจ้าของบ้านจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
เลือกบริษัทรับสร้างบ้านให้ได้ดีจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบดังนี้
1.บริษัทรับสร้างบ้านควร จดทะเบียนนิติบุคคล มีวิศวกร สถาปนิก คอยให้คำปรึกษา
โดยทั่วไปบริษัทรับสร้างบ้านที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล มักจะมีระบบการตรวจสอบคุณภาพการก่อสร้างหน้างานทำให้ลดความเสี่ยง ในการเกิดปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้างทรุดตัว แตกร้าว หรืองานระบบใช้งานไม่ได้ เมื่อเทียบกับการใช้ผู้รับเหมารายย่อยทั่วไป
2.ควรเข้าไปดูที่ออฟฟิศของบริษัทรับสร้างบ้านเพื่อดูความน่าเชื่อถือ
การเลือกว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้าง หากเราได้รู้จักที่อยู่และหลักแหล่งของบริษัทที่เราจะทำการว่าจ้าง ก็จะช่วยให้เราประเมินความน่าเชื่อถือเบื้องต้นได้ ทั้งนี้การเข้าไปดูสภาพออฟฟิศ ก็ทำให้เราประเมินสภาพคล่องของบริษัทที่เราอาจจะว่าจ้างได้ในอนาคตอีกด้วย
3.เปรียบเทียบบริษัทรับสร้างบ้าน ด้วยเงื่อนไขการว่าจ้างที่ใกล้เคียงกัน
ในการเปรียบเทียบราคาที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเสนอ ควรเปรียบเทียบบนพื้นฐานของขอบเขตงานที่ใกล้เคียงกันและวัสดุเทียบเท่ากัน ในทางปฏิบัติบริษัทรับสร้างบ้านแต่ละราย อาจจะมีเทคนิคในการนำเสนอแตกต่างกันไป เช่น บางรายต้องการเสนอราคาให้ต่ำ ก็อาจจะไม่ได้รวมงาน บางประเภทไว้ในการเสนอราคารอบแรก ทำให้ยอดรวมของราคาที่เสนอไปให้ผู้ว่าจ้างต่ำ ดูแล้วไม่แพง ซึ่งหากผู้ว่าจ้างตกลงว่าจ้าง บริษัทรับสร้างบ้านรายนี้ก็อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่งอกเพิ่มขึ้นมาในการก่อสร้างภายหลัง ทำให้เกิดเป็นงบบานปลายขึ้นได้
4.สรุปขอบเขตงานการว่าจ้างให้ชัดเจน
การสรุปขอบเขตการจ้างงานในแต่ละส่วนมีความสำคัญ ช่วยลดการเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างได้ เนื่องจากหากไม่สรุปขอบเขตให้ชัดเจนแล้ว หากมีงานเพิ่มขึ้นมาในภายหลัง ผู้รับจ้างก็อาจจะขอคิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม
5.ดูผลงานเพื่อประกอบการตัดสินใจในการว่าจ้าง
เราสามารถขอเยี่ยมชมไซต์งานที่กำลังก่อสร้างอยู่ของบริษัทรับสร้างบ้าน หรือหากไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาก็สามารถสอบถามถึงโครงการหรือโปรเจคที่ทำไปแล้วได้
6.ตรวจสอบสัญญาก่อสร้างก่อนเริ่มงานให้ชัดเจน
สัญญาก่อสร้างที่ดีควรระบุวันเริ่มงาน วันที่คาดว่างานจะแล้วเสร็จ ขอบเขตการทำงาน งวดงานการจ่ายเงินที่ชัดเจนว่าควรจ่ายเงินเมื่อไหร่ เมื่องานแต่ละขั้นตอนแล้วเสร็จ โดยปริมาณเงินที่จ่ายไปควรจะสัมพันธ์กับปริมาณงานแต่ละงวดงาน นอกจากนี้การระบุการจ่ายเงินตามงวดงาน โดยอ้างอิงเปอร์เซ็นงานที่แล้วเสร็จ อจก่อให้เกิดข้อพิพาท โต้เถียงกันได้ ว่าแล้วเสร็จเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ถูกต้องตามที่แต่ละฝ่ายกล่าวกล่าวอ้างหรือไม่
นอกจากนี้บริษัทรับสร้างบ้านที่ดีจะมีการรับประกันงานก่อสร้างตามระยะเวลาที่บริษัทกำหนดด้วย ซึ่งอาจจะมีระยะเวลาการรับประกันสูงถึง 20 ปี โดยจะมีการตรวจเยี่ยมเป็นระยะ ๆ ซึ่งเจ้าของบ้านจะมั่นใจได้ว่าหากมีปัญหาใด ๆ บริษัทก็ยังให้บริการช่วยเหลือดูแลค่ะ