ปิดฉาก “จุงไช้” มังกรเยาวราชมือพิฆาต “ซิตี๋” คู่บารมี “เฮียเหลา”
บ่ายวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา มีพิธีฌาปนกิจ “มนต์เทพ หรือจุงไช้ แซ่โง้ว” ที่วัดมหาพฤฒาราม สี่พระยา บางรัก อาจจะมีคำถามถึงการตายของเขา เพราะเมื่อถึงตรงนี้มือปืน เจ้าพ่อ มาเฟียคงไม่พ้นคมดาบคมกระสุน แต่ไม่ใช่ทั้งสิ้น เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งลำคอ จนถึงวาระสุดท้ายเมื่ออายุ 64 ปีพอดี
วงการมาเฟียที่นักข่าวอาชญากรรมรุ่นเก๋ามักนำมาเล่าสู่กันฟังเสมอก็คือ เรื่องราวของแก๊งมาเฟียเยาวราช ที่หลายครั้งถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ หรือมินิซีรีส์ เป็นที่ติดอกติดใจของชาวบ้าน
ย้อนกลับไปสู่ปี 2532 สภาพสังคมไทยในขณะนั้นยังโลกอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่คนละด้านกับสุจริตชนทั่วไป นั่นคือโลกแห่งอิทธิพลของเจ้าพ่อมาเฟีย มีทั้งระดับภูธร กับนครบาล โดยทุกสำนักต่างมีเส้นสายโยงใยไปถึงนักการเมือง ตำรวจ ทหารบางคนที่ให้การหนุนหลัง
“เหลา สวนมะลิ” หรือแคล้ว ธนิกุล ถูกชูให้เป็นเจ้าพ่อเมืองหลวงเบอร์ 1 เส้นทางนักเลงผ่านความเป็นความตายมาอย่างโชกโชน ว่ากันว่าอิทธิพลของ “เหลา สวนมะลิ” นั้นบรรดาธุรกิจสีเทาต่างๆ โดยเฉพาะบ่อนทุกแห่งไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ในเมืองหลวงต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้เขา นอกนั้นยังมีสถานบริการแหล่งเริงรมย์ไปจนถึงธุรกิจมืด
หน้าฉากของ “เฮียเหลา” นอกจากเป็นเจ้าของค่ายมวย ส.ธนิกุล แล้วยังมีตำแหน่งนายกสมาคมนักมวยอาชีพแห่งประเทศไทย การเข้าสู่วงการหมัดมวยนี้เองจึงสร้างความขัดแย้ง สร้างศัตรูเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย ย้อนหลังกลับไปค่ำวันที่ 4 มีนาคม 2531 ณ เวทีมวยราชดำเนิน วันนั้นมีการแข่งขันชกมวยเงินล้านโดยทรงชัย รัตนสุบรรณ เป็นโปรโมเตอร์ ที่นั่งเต็มทุกชั้นและเพียบพร้อมไปด้วยแขกเหรื่อระดับวีไอพีของวงการ อาทิ “เหลา สวนมะลิ” กับสมัครพรรคพวกนั่งอยู่มุมหนึ่ง ถัดไปใก้ลกับมุมน้ำเงินปรากฏร่าง “ชัยวัฒน์ พลังวัฒนกิจ” หรือโหงว 5 พลัง นักเลงรุ่นน้องที่กำลังขึ้นชั้นพรวดๆ
เสียงเชียร์มวยเฮๆ กับความตื่นเต้นเร้าใจของมวยคู่สำคัญที่กำลังแลกเตะต่อยกันอย่างสนุกสนานจนเสียงระฆังบอกหมดยก ระหว่างนั้นนายชัยวัฒน์ลุกจากที่นั่งเดินมายังมุมน้ำเงินเพื่อต่อรองพนันมวย จังหวะนั้นมือปืนที่รอโอกาสอยู่ก็เดินเข้าหาชักอาวุธปืนจ่อยิงสวนทะลุแว่นตาจนเสี่ยโหงว 5 พลังหงายท้องเสียชีวิตในทันที
ช่วงนั้นคงไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แฟนมวยหลักพันที่เต็มสนามต่างพากันแตกฮือด้วยความตกใจ ส่วนมือปืนซึ่งทราบต่อมาว่าเป็นญาติทางน้องเมียของนายสีห์ อัศวทรงศักดิ์ หรือ “ซิตี๋” ผู้จัดการค่ายมวย ส.ธนิกุล โอกาสเกิดความโกลาหลหลบหนีไปได้พร้อมๆ กับกลุ่มของ “เหลา สวนมะลิ” เจ้าพ่อเลือดเย็นที่มานั่งดูผลงานด้วยตัวเอง
คดีลอบยิงโหวง 5 พลังโด่งดังมากและข่าวต่างพุ่งไปยัง “เหลา สวนมะลิ” ซึ่งออกมาแก้ต่างเป็นระยะว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย ส่วน “ซิตี๋” ก็เป็นเพียงเด็กเก็บขี้หมาในบ้านไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ทั้งที่มีข้อเท็จจริงปรากฏก่อนหน้าว่าคนตายกับ “เหลา สวนมะลิ” ขัดแย้งกันเรื่องชิงเก้าอี้นายกสมาคมมวยฯ ต่อมาซิตี๋ถูกตำรวจจับข้อหาใช้จ้างวาน แต่สู้คดีหลุดเนื่องจากขาดประจักษ์พยาน-หลักฐาน
จากผลงานดับคู่แข่งบารมีให้กับนายใหญ่นั่นเอง “ซิตี๋” จึงได้รับความไว้วางใจจาก “เหลา สวนมะลิ” มากขึ้น และกลายเป็นผู้ติดตามราวเงาติดตัวโดยทั้งสองพูดคุยกันด้วยภาษาที่สองคือภาษาจีน และมีรสนิยมเสพสารระเหยเหมือนกันนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองค้นประวัติคร่าวๆ ของนายสีห์ อัศวทรงศักดิ์ พบว่ามีความเป็นมาไม่ธรรมดาเช่นกัน โดยเริ่มเข้าวงการมาเป็นคนรับใช้ของ “เฮียล้อ วงเวียน 22” นักเลงรุ่นใหญ่ของเมืองหลวงอีกคนหนึ่ง คอยทำหน้าที่ติดตามและชงกาแฟให้เฮียกิน ต่อมา “เฮียล้อ” เกิดบาดหมางกับ “เหลา สวนมะลิ” ความตายจึงมาเยือน “เฮียล้อ” เร็วกว่าปกติ และมือปืนที่จ่อยิงท้ายทอยเขาระหว่างนั่งจิบกาแฟ คิดบัญชีอยู่ในบ้านพักก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มือปืนคนนั้นก็คือ “ซิตี๋” เด็กหนุ่มรูปร่างล่ำอ้วนชอบสวมชุดเอี๊ยมที่ “เฮียล้อ” ไว้เนื้อเชื่อใจให้มาอยู่ใกล้ตัวนั่นเอง
ว่ากันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดถูกกำหนดแผนโดย “เหลา สวนมะลิ” และชีวิตของ “ซิตี๋” ก็เปลี่ยนไปเมื่อมาอยู่กับเจ้านายคนใหม่ จากคนชงกาแฟก็ขึ้นชั้นมาเป็น นักเลงมีชื่อชั้น และขยับเป็น ผจก.ค่ายมวย และด้วยผลพวงของการทรยศหักหลังคราวนั้นส่งผลให้ “เหลา สวนมะลิ” มักจะขอคำปรึกษากับ “ซิตี๋” เป็นประจำหากมีปัญหาใดๆ รวมทั้งการวางงานสังหาร “โหงว 5 พลัง” ด้วยความเจนจัด และไม่เคยไว้ใจใคร เพราะหากข่าวรั่วนอกจากงานไม่สำเร็จ ศัตรูอาจย้อนเกร็ดกลับมาคิดบัญชีได้ “ซิตี๋” เลือกใช้คนใกล้ชิดที่เป็นญาติทางเมีย และเป็นมือปืนใหม่ถอดด้ามแต่ศึกษาดูจนเชื่อว่า “ใจถึง” จึงกำหนดวันตาย “โหงว 5 พลัง” ได้สำเร็จ
เมื่อ “ซิตี๋” พ้นความผิด เขาจึงกลับมาเดินสายในฐานะสมุนใกล้ชิดอันดับ 1 ของ “เหลา สวนมะลิ” บ่อนพนันทุกแห่งในกรุงเทพฯ กลายเป็นแหล่งหาเงินของ “ซิตี๋” แม้บ่อนจะเต็มใจจ่ายค่ามาเยือน หรือค่าคุ้มครองให้กับ “ซิตี๋” เที่ยวละ 2 หมื่นบาทแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับรายได้นี้นัก จึงสร้างความอึดอัดเบื่อหน่ายให้กับบ่อนเล็กบ่อนใหญ่นั่นเพราะ “ซิตี๋” จะลงไปเล่นพนันเอง และเป็นนักพนันนิสัยเสียกล่าวคือ “ได้เอา เสียไม่จ่าย” จนที่สุดวันตายก็มาถึงเมื่อกล้าไปล้ำเส้นถิ่นมังกรเยาวราช
ตีสอง วันที่ 15 ตุลาคม 2532 นายสีห์ อัศวทรงศักดื หรือซิตี๋ พร้อมด้วยนายปราโมทย์ ศรีสุขใจสำราญ ลูกน้องคนสนิทเดินทางไปเล่นพนันกำถั่วที่บ่อนเฮียสี่ ตั้งอยู่ชั้น 2 ตึกแถวเลขที่ 66 ตรอกไทร หลังสุกี้บะหมี่เท็กซัส ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กทม. การเล่นพนันเที่ยวนี้ “ซิตี๋” มาในมุกเก่าๆ คือขอเบิกชิปไปเล่นพนันโดยเที่ยวแรกเบิกไป 3 แสนบาท แต่เล่นจนหมด และมาขอเบิกอีก 1 แสนหมดเป็นรอบสอง แทนที่จะกลับบ้าน “ซิตี๋” ขอเบิกเป็นรอบที่ 3 คราวนี้สมุห์บัญชีปฏิเสธจึงกลายเป็นเรื่อง มีการโวยวายทุบข้าวของจนนักพนันกำถั่วแตกกระเจิง
เสียงตึงตังดังไปถึงชั้นล่าง ว่ากันว่าเป็นห้องทำงานของ “ก่งก๊ก” เจ้าพ่อหมายเลข 1 ของเยาวราชที่ครั้งหนึ่งเคยตกลงกับ “เหลา สวนมะลิ” ในเรื่องแบ่งพื้นที่กันทำมาหากินและอย่างล่วงล้ำกล้ำเกินกัน “ก่งก๊ก” ซึ่งรับทราบเหตุการณ์มาโดยตลอด และมองเห็นว่าไม่ใช่แค่การมาสั่วบ่อนกันธรรมดา แต่เป็นการหยามหน้ายอมกันไม่ได้ เพราะหากไม่จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งในฐานะเบอร์ 1 ถิ่นมังกรจีนเขาก็คงตกชั้น เสื่อมเครดิต
จังหวะหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น นายมนต์เทพ หรือ จุงไช้ แซ่โง้ว กับนายชาตรี หรือเล็ก แซ่โค้ว สองกุมารจีนลูกน้องคู่กายซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วจึงผลุนผลันวิ่งขึ้นไปเจอ “ซิตี๋” ยืนหันหลังจึงตะโกนเรียกชื่อแล้วยิงใส่ในระยะประชิด 3 นัดซ้อน กระสุนถูกจัดตายทั้งสิ้นคือที่หน้าอก และขมับขวา ส่วนนายปราโมทย์ ลูกน้องซิตี๋ ทำท่าจะเข้าช่วยจึงถูกนายชาตรียิงใส่อีก 3 นัด กระสุนถูกศีรษะ กับต้นแขนตายคาที่ทั้งลูกพี่ลูกน้อง
หลังปฏิบัติการล้มเด็กเจ้าพ่อนครบาล กรมตำรวจในยุคนั้นมี พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ จึงเรียก พล.ต.ต.ธนู หอมหวล รอง ผบช.น.ขณะนั้นให้มารับผิดชอบคดีและใช้มาตรการเข้มข้นปราบปรามผู้มีอิทธิพลซึ่งเหิมเกริมหนักข้อขึ้นทุกวันๆ โดยต่อมาเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมนายชาตรี หรือเล็ก แซ่โค้ว ได้ที่โรงแรมอพอลโล ถนนวิภาวดีฯ ส่วนนายมนต์เทพ หริอจุงไช้ แซ่โง้ว จับได้ที่โรงแรมเกียวอัน สระบุรี
เส้นทางสายมาเฟียเมืองหลวง “เหลา สวนมะลิ” มาถึงปัจฉิมบทเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2534 ซึ่งอยู่ในช่วงยึดอำนาจของคณะทหาร “เหลา สวนมะลิ” หรือแคล้ว ธนิกุล ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธสงครามเอ็ม 79 ยิงใส่รถเบนซ์ประจำตัว และกราดเอ็ม 16 กล่มพรุนทั้งคันขณะไปร่วมงานที่ จ.สมุทรสงคราม นับเป็นการปิดฉากเจ้าพ่อครั้งสะเทือนเลื่อนลั่นที่สุดในประวัติมาเฟียไทย
25 ปีผ่านไป จากบ่อนเล็กๆ หลังบะหมี่เท็กซัส เยาวราช ปรับเปลี่ยนเป็นบ่อนขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ “ซา หลัก เก้า” ดำเนินการโดยเจ้าพ่อเยาวราช “คนเดิม” นับเป็นเรื่องราวด้านมืดอีกด้านที่คล้ายบทภาพยนตร์ดีๆ ที่เราเคยชมกัน บนเส้นทางนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นจุดจบของเจ้าพ่อมาเฟียที่ไม่เคยแก่ หรือเจ็บไข้ตาย แต่ความจริงเรื่องหนึ่งที่ควรศึกษาก็คือ “เจ้าพ่อ” ในยุคดิจิตอลไม่มีใครลากอาวุธสงคราม หรือวางแผนยอกย้อนฆ่ากันไปมาอีกแล้ว จากวันนี้บ่อนซา หลัก เก้า ปิดตัวลงพร้อมๆ กับชีวิตของนายมนต์เทพ “จุงไช้” แซ่โง้ว มือปืนใจเด็ดผู้ไม่ยอมก้มหัวให้กับศัตรูหน้าไหนที่คิดหมิ่นศักดิ์ศรี การดับรัศมีสมุนคู่ใจ “เหลา สวนมะลิ” ส่งผลให้ “ก่งก๊ก จุงไช้” กลายเป็นตำนานนักเลงเยาวราชที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ และกลายเป็นทำเลทองไม่มีมาเฟียรุ่นไหนกล้าตอแยอีกต่อไป...
https://www.blockdit.com/posts/5c752269e7c04f344ee9a270