รู้หรือไม่?เราทานวิตามินซีละลายน้ำทิ้ง 50%
วิตามิน C
วิตามินสามารถจำแนกออกตามสมบัติของการละลายได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1. วิตามินกลุ่มที่ละลายได้ในไขมัน (fat-soluble vitamin) ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค
วิตามินกลุ่มนี้ส่วนใหญ่พบในอาหารร่วมกับไขมันและน้ำมัน และจะถูกดูดซึมพร้อมกับการดูดซึมไขมันและน้ำมัน และต้องมี
น้ำดีทำหน้าที่เป็นอิมัลซิไฟอิงเอเจนต์ หากเกิดภาวะผิดปกติต่อการย่อยและการดูดซึมไขมันและน้ำมัน เช่น การสร้างน้ำดีที่
ตับผิดปกติ หรือท่อน้ำดีอุดตัน หรือร่างกายได้รับอาหารที่มีไขมันและน้ำมันน้อยเกินไป จะทำให้การดูดซึมของวิตามินกลุ่มนี้
ผิดปกติไปด้วย
เนื่องจากวิตามินกลุ่มนี้ละลายได้ดีในไขมันและน้ำมัน ไม่ละลายในน้ำ เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไม่สามารถ
ถูกขับออกมาทางปัสสาวะได้ หากร่างกายได้รับวิตามินกลุ่มนี้มากเกินไปจะเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ จึงไม่จำเป็นต้องได้รับ
จากอาหารทุกวัน หากร่างกายได้รับมากเกินไปอาจทำให้เกิดพิษได้
2. วิตามินกลุ่มที่ละลายได้ในน้ำ (water-soluble vitamin) ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซี
วิตามินบีรวมยังแบ่งย่อยออกเป็นอีกหลายชนิด เช่น วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง วิตามินบีหก วิตามินบีสิบสอง ไนอะซิน
กรดโฟลิก กรดแพนโททินิก และไบโอติน เป็นต้น
วิตามินกลุ่มนี้ร่างกายจำเป็นต้องได้รับจากอาหารทุกวัน ร่างกายไม่สามารถสะสมวิตามินกลุ่มนี้ได้ เพราะมีสมบัติละลายได้ดีในน้ำ หากร่างกายได้รับมากเกินไป ส่วนที่มากเกินพอจะถูกขับออกทางปัสสาวะ
วิตามินซีมีจุดอิ่มตัวในการดูดซึม
การดูดซึมของวิตามินซีมีจุดอิ่มตัวและขึ้นอยู่กับปริมาณในการรับประทานเข้าไป หากทานเกินจุดอิ่มตัวของการดูดซึม ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมไปใช้เพิ่มได้ จึงควรทานวิตามินซีในปริมาณที่ต่ำกว่า 1 กรัม แต่ทานหลายครั้งจะดูดซึมได้ดีกว่าทานปริมาณมากในครั้งเดียว
การรับประทานวิตามินซีครั้งละ 1,000-1,500 มก. มีข้อมูลระบุว่า ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้เพียง 50%
กินวิตามินซีตอนไหน ได้ประโยชน์มากที่สุด
เรื่องนี้ ภญ.วริยา สารรัตนะ ได้ให้คำตอบไว้ในเว็บไซต์หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่า จริง ๆ แล้วสามารถรับประทานเวลาใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความสะดวก แต่แนะนำว่าอย่าทานตอนท้องว่าง ถ้าจะให้ดีควรทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารจะดีที่สุด เพราะอาหารจะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีไปใช้ได้ และเป็นการป้องกันกระเพาะอาหารระคายเคืองด้วย เพราะวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรดนั่นเอง
ทั้งนี้ เราอาจแบ่งรับประทานวิตามินซีตามมื้ออาหารก็ได้ เช่น วันละ 2 เวลาหลังอาหาร หรือ วันละ 3 เวลาหลังอาหาร จะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินซีได้ดีกว่าการรับประทานทั้งหมดในครั้งเดียวค่ะ
วิตามินซี กินมากไป ใช่ว่าดี
อาหารทุกอย่างทานน้อยไปก็ไม่ได้ ทานมากไปก็ไม่ดี รวมทั้งวิตามินซีด้วยค่ะ เพราะถ้าร่างกายได้รับน้อยเกินไปก็จะส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน ทำให้เป็นหวัดง่าย เลือดออกตามไรฟัน ผิวพรรณดูไม่ผ่องใส เพราะวิตามินซีมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยชะลอความแก่ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย
แต่ถ้าทานมากเกินไป เช่น ทานเกิน 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันนาน ๆ เข้า ก็อาจเกิดผลข้างเคียงอย่างเช่น ไม่สบายท้อง ปวดมวนท้อง ท้องเสียรุนแรง เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในไต แต่ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะอาการข้างเคียงเหล่านี้พบได้น้อยมาก เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ จึงขับออกทางปัสสาวะได้นั่นเอง ดังนั้นแล้วหากใครจำเป็นต้องทานวิตามินซีในปริมาณสูงกว่าที่กำหนด ก็ควรทานพร้อมหรือหลังอาหาร และดื่มน้ำตามมาก ๆ ด้วยค่ะ
Vitamin C มากเกินไปเกิดโทษอย่างไร?
ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้รับประทานวิตามินซีเกินกว่า 2,000 mg/วัน เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินละลายน้ำ หากรับประทานเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการจะสามารถขับทิ้งทางปัสสาวะได้ค่ะ แต่ในทางกลับกันหากมีการขับส่วนเกินทิ้งทุกวันๆ ก็จะเพิ่มโอกาสการตกตะกอนของผลึกวิตามินซี ทำให้กลายเป็นนิ่วในไต หรือในทางเดินปัสสาวะได้
ประโยชน์ของวิตามินซี
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
- การรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้ผิวใส เนียน นุ่มลื่นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ช่วยในการรักษาและป้องกันโรคหวัด
- ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
- ประโยชน์วิตามินซี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด
- ช่วยต่อต้านการสร้างสารไนโตรซามีน (สารก่อมะเร็ง)
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- ประโยชน์ของวิตามินซี ช่วยลดความดันเลือด
- ช่วยลดการเกิดเส้นเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
- ช่วยต่อชีวิตให้เซลล์โดยช่วยให้โปรตีนในเซลล์เกาะเกี่ยวกันได้ดีขึ้น
- ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก
- เป็นยาระบายตามธรรมชาติ
- เพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ช่วยลดอาการที่เป็นผลมาจากสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด
- ช่วยเร่งให้แผลหลังผ่าตัดหายเร็วยิ่งขึ้น
- ช่วยในการรักษาแผลสด แผลไหม้ให้หายเร็วยิ่งขึ้น
คำแนะนำในการรับประทานวิตามินซี
- วิตามินซีจะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากรับประทาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารในกระเพาะ และการรักษาระดับของวิตามินซีในเลือดให้สูงอยู่ตลอดเวลาถือเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพ จึงขอแนะนำว่าให้รับประทานพร้อมอาหารมื้อเช้าและเย็น
- วิตามินซีในปริมาณสูงอาจกระทบถึงผลการตรวจเลือดรวมทั้งผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นหากคุณกำลังไปตรวจอย่าลืมแจ้งแพทย์ว่าคุณกำลังรับประทานวิตามินซีอยู่ เพราะการวินิจฉัยอาจเกิดการผิดพลาดได้
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรทราบว่า ค่าที่ได้จากการตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะอาจไม่ถูกต้อง หากคุณรับประทานวิตามินซีปริมาณสูง
- ยารักษาโรคเบาหวาน อาจมีประสิทธิภาพด้อยลงหากรับประทานร่วมกับวิตามินซี
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิด 2 หรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูง สามารถลดความดันได้เพียงแค่รับประทานวิตามินซีวันละ 500 mg.
- สำหรับผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรมที่ส่งผลให้มีเหล็กสะสมในร่างกายมาก เช่น ธาลัสซีเมียหรือฮีโมโครมาโตซิส ไม่แนะนำให้รับประทานวิตามินซีในปริมาณที่สูง หากรับประทานวิตามินซีเกินกว่า 750 mg. ต่อวัน ควรรับประทานแมกนีเซียมเสริมด้วย เพราะช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไตได้
- ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะทำลายวิตามินซี เพราะฉะนั้นผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองควรรับประทานวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น
- สำหรับผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด ควรรับประทานวิตามินซีเพิ่มขึ้น
- เพื่อให้วิตามินซีทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรให้มันได้ทำงานร่วมกันกับไบโอฟลาโวนอยด์ แคลเซียม แมกนีเซียม
- หากคุณรับประทานยาแอสไพริน ควรรับประทานวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น เพราะแอสไพรินทำให้วิตามินซีถูกขับเร็วขึ้นถึงสามเท่า
- หากคุณรับประทานโสม ควรเว้นระยะเวลา 2 ชั่วโมงก่อนหรือหลังรับประทานวิตามินซี
- เพื่อบรรเทาอาการหวัด ควรรับประทานวิตามินซี 1,000 mg. วันละสองเวลา พบว่าจะช่วยลดระดับฮิสตามีนในเลือดลงถึงร้อยละ 40 (ฮิสตามีนเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการน้ำมูกน้ำตาไหล)
สรุป การทานวิตามิน C ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
1. การทานวิตามิน C ควรทานพร้อมมืออาหารทั้ง 3 มื้อๆ เพื่อให้วิตามิน C ถูกดูดซึมพร้อมกับสารอาหารอย่างอื่น
2. แต่ละมื้อก็ไม่ควรทานมากเกินไป ถ้าเราทานวิตามิน C เม็ลละ 1,000 mg. ต่อมื้อ แต่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ประมาณ 50% ที่เหลือมันจะลาลายน้ำและขับออกมาทางปัสสาวะ (ถึงตรงนี้ ปัสสาวะของท่านก็จะเป็นปัสสาวะมีราคาค่างวดที่แพงทีเดียวเชียว เพราะมีวิตามิน C ผสมอยู่ประมาณ 500 mg. เลยทีเดียว)
3. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ (ผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักควรทานอาหารประเภทแป้ง ของมัน ของหวานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และรับประทาน โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย)
อ้างอิงจาก: Prattana Nitijessadawong,หนังสือวิตามินไบเบิล (ดร.เอิร์ล มินเดลล์),ภญ.วริยา สารรัตนะ, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นิธิยา รัตนาปนนท์,ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยโรงพยาบาลกรุงเทพ