[บังกลาเทศจะไม่ทน!!!]
สัปดาห์ที่ผ่านมามีประชุม United Nations General Assembly กันที่สหรัฐอเมริกา ยังมีอีกหลายประเด็นน่าสนใจที่อยากเก็บมาชวนกันพูดคุยในเพจ วันก่อนผมได้เล่าถึงสถานการณ์ในแคชเมียร์ ระหว่างปากีสถานกับอินเดียไปแล้ว วันนี้ขออนุญาตขยับมาทางขวาของแผนที่อีกนิด แต่ยังคงอยู่กันในภูมิภาคเอเชียใต้กันอยู่ นั้นก็คือ สถานการณ์ภายใน บังกลาเทศ-พม่า ในหัวข้อยอดนิยมของวงการนักสิทธิมนุษยชน “ปัญหาโรฮิงญา” นั้นเอง
คือเมื่อ (น่าจะวันศุกร์ ไม่ก็พฤหัส) นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ Sheikh Hasina ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์แล้วมีการนำประเด็นโรฮิงญาที่กำลังกลายเป็นฝันร้ายของบังกลาเทศขึ้นมา เพื่อเรียกร้องให้นานาชาติเข้ามาร่วมช่วยกันดูแล และแก้ไข
อันเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ บังกลาเทศเป็นเพียงตัวละครเดียวบนเวทีโลกที่ออกหน้ารับมือกับปัญหาโรฮิงญาอพยพมาตลอดเกือบเกินกว่า 10 ปี (ไม่ใช่แค่ช่วง 2017-2018 เท่านั้น) จนตอนนี้ทรัพยากรในภาคตะวันออกของบังกลาเทศถูกโยกมาใช้ในการดูแลสนับสนุนค่ายลี้ภัยโรฮิงญาในปริมาณมหาศาลแล้ว
** เท้าความให้อ่านกันเล็กน้อย คือ ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ที่โรฮิงญาเข้ามาพำนักลี้ภัยในบังกลาเทศ เพราะต้องหนีภัยจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยรัฐบาลพม่านั้น โรฮิงญาไม่ได้มาตัวเปล่าๆ แต่มาพร้อมกับการสร้างปัญหาด้านความมั่นคงให้แก่บังกลาเทศเลย เพราะภายหลังค่ายลี้ภัยโรฮิงญาในภาคตะวันออกขยายตัวขึ้นนั้น ก็มีอาชญากรรมจำนวนมากเกิดตามขึ้นมา
ทั้งการฆาตกรรม ฉกชิงวิ่งราว สังหารนักการเมืองท้องถิ่น ขบวนการลักลอบค้ายาบ้า ขบวนการค้ามนุษย์ ขบวนการขนอาวุธเถื่อน (จากสถิติคือมีคดีอาชญกรรมความเพิ่มขึ้นนับได้ประมาณ 500-600 คดี วิสามัญโรฮิงญาไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ราย เฉพาะเดือนกันยา 2019 ปาไปแล้ว 10-20 ศพ เพราะโรฮิงญาหลายคนมีอาวุธและพร้อมยิงสู้กับตำรวจ ส่วนเคสจับยาบ้าก็จับได้รายละเป็นแสนเม็ด)
ทำให้รัฐบาลบังกลาเทศเกิดความกังวลและความตึงเครียดอย่างหนัก เพราะไม่เพียงแต่อาชญากรรมเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น อัตราการเกิด การคลอดลูกก็เพิ่มขึ้น มีเด็กแรกคลอดเกิดขึ้นเฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 60 คน (บางวันอาจพุ่งเกิน 100 หัว) จนนายกฯบังกลาเทศต้องดิ้นรนเดินทางไปเยือนเพื่อพบผู้นำประเทศมหาอำนาจระดับภูมิภาคต่างๆ ทั้งรัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และรวมถึงเหล่านักการทูตในสหประชาชาติ
เพื่อขอร้องให้ประเทศ และผู้นำเหล่านั้นออกตัวก้าวเข้ามาให้การช่วยเหลือบังกลาเทศในการดูแลจัดการปัญหาโรฮิงญา เช่น ช่วยกดดัน และเรียกร้องให้พม่ารับชาวโรฮิงญากลับประเทศไป เนื่องจากทางบังกลาเทศกำลังเข้าสู่ระยะที่ไม่สามารถแบกรับภาระโรฮิงญาไว้คนเดียวไหวอีกต่อไปแล้ว ด้วยงบประมาณมหาศาล และเงินจำนวนมากที่จำเป็นต้องใช้ในการโอบอุ้มชาวโรฮิงญาภายใน Cox’s Bazar นี้
แต่ไม่ว่าจะเดินทางไปคุยกันสักกี่ครั้งในช่วง 2-3 ปีมานี้ ทางบังกลาเทศก็ไม่เคยได้รับสัญญาณตอบรับจากประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นว่าจะให้ความช่วยเหลือบังกลาเทศอย่างจริงๆจังๆเลย นานาชาติและเวทีโลกกำลังทอดทิ้งโรฮิงญาไว้ในมือของบังกลาเทศ ไม่ว่าจะรัสเซีย จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย ซาอุดิอาระเบีย ออสเตรเลีย และสหประชาชาติ
แทบไม่มีใครคิดอยากจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบังกลาเทศในการรับมือชาวโรฮิงญาเลย (จะมีก็แต่ตุรกี และสหประชาชาติที่พอส่งความช่วยเหลือมาบ้าง ผ่านเงินสนับสนุน และองค์กรการกุศลที่เข้ามาคอยช่วยดูแลสวัสดิภาพภายในค่ายโรฮิงญา) แต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น ต่างออกตัวนิ่งเฉย และมีแนวโน้มที่จะถือหางพม่า ไม่ยอมออกหน้ากดดันพม่าแม้แต่น้อย
** ทั้ง 3 ประเทศ คือ รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น มีเหตุผลสำคัญที่ต้องการถือหางพม่า เอาใจพม่า คือ ผลประโยชน์ในที่ดินของโรฮิงญา ที่พม่ากำลังนำไปใช้พัฒนาเป็นที่ดินเปล่าสำหรับเตรียมการสร้างเขตนิคมอุตสาหกรรมใหม่เพื่อรอรับการลงทุนจากต่างชาติ ทำให้หลายๆประเทศกำลังหมายปองที่ดินผืนนั้น (ซึ่งเคยเป็นของโรฮิงญา) เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะเข้ามายุ่งกันสักเท่าไร เรื่องนี้มันจึงไปคาบเกี่ยวกับเรื่องทางภูมิรัฐศาสตร์เสียเป็นหลัก
โดยเหตุการณ์ที่ทำให้ทางบังกลาเทศหัวเสีย และเริ่มจะหมดความอดทนกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ก็คือ เรื่องเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาที่บังกลาเทศจะต้องเริ่มส่งตัวผู้ลี้ภัยโรฮิงญากลับพม่าทาง ตามที่ทั้งสองประเทศได้ทำสัญญาใน MOU กันไว้เมื่อปี 2017 แต่การส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับล้มเหลว เพราะไม่มีใครยอมลงทะเบียนกลับพม่าเลยสักคน ทั้งๆที่เตรียมแผนไว้ว่าจะส่งกลับไปสักประมาณพันหัว เตรียมรถบัส รถบรรทุกไว้ขนชาวโรฮิงญาเรียบร้อยแล้ว แต่สุดท้ายทุกอย่างล้มเหลว
เพราะโรฮิงญาไม่กล้ากลับอพยพกลับพม่า เนื่องจากรัฐบาลพม่าปฏิเสธที่จะรับรองการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ และการให้สัญชาติ แถมภาพจากดาวเทียมที่ออกมายังทำให้เห็นอีกว่า รัฐบาลพม่าเผาบ้าน เผาหมู่บ้าน ที่ดิน ไร่นาของชาวโรฮิงญาทิ้งแล้วไถดินกลบไปหมดแล้ว เอกสาร หลักฐาน ใบประวัติต่างๆของพวกเขาก็มีแนวโน้มจะถูกทำลายหายไปด้วย (การพิสูจน์สัญชาติยิ่งจะยากขึ้นไปใหญ่)
ชาวโรฮิงญาจึงปฏิเสธดื้อแพ่งไม่ยอมกลับพม่า ทำให้รัฐบาลบังกลาเทศโกรธมาก แล้วบ่นว่ารัฐบาลพม่าไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีการเตรียมความพร้อม สร้างเงื่อนไขให้คนโรฮิงญาอยากกลับบ้าน โดยล่าสุดนายกฯบังกลาเทศได้ประกาศกร้าวบนเวทีสหประชาชาติเมื่อวันศุกร์ว่า “ปัญหาโรฮิงญาเป็นปัญหาของพม่า ไม่ใช่ปัญหาของบังกลาเทศ”
ทำไมบังกลาเทศจะต้องรับกรรม ทำทุกอย่างอยู่แบบนี้เป็นเวลานานโดยที่พม่าไม่ทำอะไรให้คืบหน้าเลยด้วย? นายกฯบังกลาเทศยังขู่เสริมอีกว่า เร็วๆนี้ทางบังกลาเทศจำเป็นที่จะต้องนำมาตรการไม้แข็งมาใช้กับชาวโรฮิงญา คือ ต่อไปนี้ทางรัฐบาลจะนำรั้วลวดหนามมาวางล้อมรอบค่ายผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแอบลักลอบเข้าเมือง หรือหนีออกจากค่าย
และจะนำกล้อง CCTV พร้อมกับหอสังเกตการณ์แบบในเรือนจำมาติดตั้งบริเวณรอบๆค่าย เพื่อป้องกันไม่ให้โรฮิงญาทำอะไรนอกลู่นอกทางอีกด้วย ถือเป็นสัญญาณใหญ่ที่บังกลาเทศแสดงออกมาหลังจากที่ทั้งรัฐบาลพม่าและนานาชาตินั้นเมินหันหลังให้แก่บังกลาเทศ แล้วปล่อยให้บังกลาเทศรับมือกับปัญหาดังกล่าวอย่างเรื้อรังอยู่ฝ่ายเดียว
** นายกฯบังกลาเทศบอกว่า ถ้ายังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา เดี๋ยวจะส่งโรฮิงญาไปอยู่บนเกาะปิดตาย ที่ Bhasan Char (อ่าวเบงกอล)
นอกจากนี้นายกฯบังกลาเทศยังเสนอบนเวทีสหประชาชาติปิดท้ายอีกด้วยว่า เธอต้องการให้พม่าจริงใจในการแก้ปัญหาโรฮิงญามากกว่านี้ ต้องเปิดใจในการแก้กฎหมายแล้วให้สัญชาติกับโรฮิงญา ต้องอนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์จากองค์กรอย่างสหประชาชาติเข้าไปพำนักในแถบรัฐยะไข่ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์การแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดและโปร่งใส และข้อสุดท้ายคือ ประชาคมโลกต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา และตระหนักถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนในโรฮิงญาอย่างจริงจังมากกว่านี้
เพราะ “ปัญหาโรฮิงญามันไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่พม่า หรือ โรฮิงญาอีกต่อไปแล้ว มันกำลังกลายเป็นปัญหาที่คุกคามระดับภูมิภาค(เอเชียใต้)”
ในส่วนนี้ผมคิดว่าที่ Sheikh Hasina กล่าวออกมาอย่างนั้นเพราะทางบังกลาเทศกำลังหมดความอดทนกับปัญหาโรฮิงญานี้แล้วจริงๆ เพราะมันไม่ใช่แค่เซ็น MOU แล้วก็จบ แต่มันมีเรื่องที่พม่าเล่นไม่ซื่อกับโรฮิงญาแล้วผลเสียดันมาตกที่บังกลาเทศ จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงภายในบังกลาเทศเพิ่มเติมด้วย ทั้งปัญหาลักลอบเข้าเมือง ค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าอาวุธ และค้าบริการทางเพศ ฯลฯ
และบังกลาเทศก็ได้ยื่นข้อเสนอดังกล่าวนี้ต่อเวทีโลกไปแล้ว 3 ครั้งโดยที่ไม่มีใครสนใจข้อเรียกร้องของบังกลาเทศเลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในปัจจุบันบังกลาเทศจะเกิดภาวะตึงเครียดและเหลืออด กับสถานการณ์และความเงียบที่เวทีโลกส่งให้แก่เธอและประเทศของเธอ มาตรการหนัก และไม้แข็งอื่นๆอาจตามมาในเร็วๆนี้ในปี 2020 หากสถานการณ์โรฮิงญาภายใน Cox’s Bazar ยังคงอยู่ในภาวะชะลอเช่นนี้
อนึ่งบังกลาเทศได้ใช้วิธีตัดสัญญาณโทรศัพท์ และสัญญาณ 4G ภายในค่ายผู้ลี้ภัยไปแล้ว มาตรการต่อไป คือ มาตรการขึงรั้วลวดหนาม และตั้งหอคอยสังเกตการณ์นักโทษในบริเวณรอบๆ หากมาตรการเหล่านี้ไม่ได้ผล เราคงได้เห็นบังกลาเทศนำมาตรการที่หนักหนากว่านี้มาใช้ในอนาคตช่วงปี 2021-2025