เคราะห์ซ้ำ!! หนุ่มเจ้าชายนิทราถูกโจรสวมผ้าเหลืองหลอกเรี่ยไรเงินอ้างช่วยแล้วเชิดเงิน
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด หนุ่มแม่แจ่มถูกรถชนจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรามานานกว่า 2 ปี นึกว่าได้พระใจบุญที่แท้เป็นโจรในคราบผ้าเหลือง อ้างมาช่วยเหลือนำบัญชีและอาการป่วยของน้องไปเรี่ยไรเงินบริจาคก่อนที่จะเชิดเงินหนีปล่อยครอบครัวลำบากต่อล่าสุดไปจนมุมตำรวจหลังก่อเหตุลักษณะเดียวกันในตัวเมืองเชียงใหม่
ส่วนครอบครัวหนุ่มป่วยยังวอนขอรับความช่วยเหลือหลังสูญเงินที่มีอยู่ไปเกือบทั้งหมด รวมทั้งวอนคู่กรณีมาช่วยดูแลเนื่องจากหลังจากที่ทางครอบครัวยอมความตามคำร้องขอและรับปากจะดูแลแต่กลายเป็นว่าคู่กรณีตัวไม่มาดูแลเยียวยาอีกเลย(ขอบคุณภาพจากคุณ โก๋ แม่แจ่ม)
หลังจากที่เคยตกเป็นข่าวเมื่อ ปีที่แล้วกรณีที่มีการขอรับความช่วยเหลือครอบครัวของนายธิตินันท์ วรรณคำ อายุ 24 ปี หรือน้องปาน เด็กหนุ่มในอำเภอแม่แจ่ม ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว ซึ่งถูกรถชนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา เหตุเกิด เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 น้องปานซึ่งขณะนั้น เป็นทหารเกณฑ์ ได้ประสบอุบัติเหตุ ถูกรถเบนซ์ขับพุ่งชน บริเวณถนนหน้าสวนสุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในเขตอำเอเมืองเชียงใหม่ จนสลบคาที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนแพทย์ต้องผ่าตัดถึงสองครั้งแต่ไม่หายต้องนอนป่วยเป็นเจ้าชายนิทรา แม่ต้องไปกู้หนี้ยืนสินเพื่อพาน้องปานไปรักษาอาการ
หลังจากปีที่แล้วตกเป็นข่าวเรื่องของความเดือดร้อนของครอบครัวนี้ ก็มีธารน้ำใจจากผู้ใจบุญหลั่งไหลมาช่วยน้องได้เงินรักษาตัว ถึง4 แสนกว่าบาท ทางด้าน นาง ภัทรัช วรรณคำ หรือป้าไล อายุ 62 ปี ผู้เป็นแม่ ต้องค่อยพลิกตัวและเติมอาหารเสริมผ่านสายยางให้กับลูกชายที่ นอนป่วยเป็นเจ้าชายนิทรา ภายในบ้านพักใน หมู่บ้านกลางโต้ง ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หลังจากเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560ซึ่งนางภัทรัช ก็ได้นำไปใช้ในรักษาอาการน้องปาน จนเริ่มดีขึ้น แต่เมื่อเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ครอบครัวนี้ ได้ถูกกลุ่มมิจฉาชีพชาย 4 คนมาในคราบนักบุญ มี 1 ในนั้นอ้างตัวเป็นพระสงฆ์ หลอกถอนเงินจนเกลี้ยงบัญชีมิ นอกจากนี้แล้วยังทิ้งหนี้สินค่าวัสดุก่อสร้างและค่าช่างรับเหมาให้เธออีก
นางภัทรัช เล่าว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมามีคนโทรศัพท์มาหา อ้างตัวเป็นพระสงฆ์พึ่งกลับจากการจำพรรษาที่ต่างประเทศ เห็นข่าวน้องปานแล้วรู้สึกสงสารจะเดินทางเข้าไปช่วยเหลือพร้อมลูกศิษย์ หลังจากนั้นกลุ่มมิจฉาชีพก็ได้เดินทางโดยรถตู้มาที่บ้านนางภัทรัช ก่อนจะทำพิธีสวดมนต์ให้และสอบถามถึงสารทุกข์สุขดิบ และก่อนจะขอดูบัญชีและบัตรประชาชนของนางภัทรัช โดยอ้างว่าจะนำไปเปิดบัญชีให้ญาติโยมลูกศิษย์ ลูกหา ช่วยเหลือน้องปานอีกทาง และจะสร้างห้องพักปลอดเชื้อให้กับน้องปานด้วย
โดยให้ตนเองไปสั่งวัสดุอุปกรณ์และเรียกช่างมาทำ ซึ่งตนเห็นเป็นพระสงฆ์น่าเคารพนับถือจึงหลงเชื่อต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 กลุ่มมิจฉาชีพได้นำสมุดบัญชีที่มีผู้ใจบุญบริจาคช่วยเหลือน้องปานมาคืนนางภัทรัชก็ไม่ได้เอะใจ กระทั่งกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ออกจากพื้นที่อำเภอแม่แจ่มไปได้ประมาณสองสามวัน นางภัทรัชจึงได้นำสมุดบัญชีไปเช็คยอดที่ธนาคารแต่ได้ไม่สามารถทำรายการได้จึงติดต่อไปยังธนาคารทำให้รู้ว่าเป็นเสมุดบัญชีปลอมเธอจึงขอให้ธนาคารเช็คยอดเงินในสมุดบัญชีจริงให้พบว่าเงินถูกถอนเกือบเกลี้ยงบัญชี เหลือเงินเพียง 14,000 บาทเท่านั้น ทางธนาคารจึงบอกให้เธออายัดสมุดบัญชีดังกล่าวทันที
โดยจากการตรวจสอบพบว่า กลุ่มมิจฉาชีพได้ถอนเงินในบัญชีของเธอไป 2 ครั้ง รวมเกือบ 1 แสนบาท เธอจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความที่ สภ.แม่แจ่ม เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562ที่ผ่านมา โดยการกระทำของกลุ่มมิจฉาชีพในคราบนักบุญนั้นสร้างความเดือดร้อนให้เธอและลูกชายเป็นอย่างมาก เนื่องจากเงินที่ผู้ใจบุญบริจาคนนั้นได้ถูกถอนไปหมด ทั้งค่ายา ค่าอาหารเสริม ค่ารถในการทางไปหาหมอ รวมไปถึงค่าวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง ที่ทางกลุ่มมิจฉาชีพไปสั่งมาทำห้องปลอดเชื้อให้น้องปาน นั้น ยังไม่ได้จ่าย ล่าสุดอาการของน้องปานก็ยังกลับมาทรุดลงอีก ชักเกร็งเป็น ระยะๆ และมีอาการกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อด้วย ทุกวันนี้ทำให้เธอลำบากมาก
เนื่องจากต้องเลี้ยงดูพ่อพิการหูหนวกและลูกชายที่ป่วยเป็นเจ้าชายนินทราเพียงคนเดียว ลำพังเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ของเธอกับพ่อและเบี้ยคนพิการของน้องปานไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวที่แต่ละเดือนทั้งค่ายา ค่าผ้าอ้อมผู้ใหญ่ รวมไปถึงค่าอาหารเสริม เดือนหนึ่งหลายพันบาท
ดังนั้นเธอจึงต้องการวอนผู้ใจบุญช่วยเหลือและต่อชีวิตลูกชายเธออีกครั้งหนึ่งส่วนบัญชีเดิมนั้นเธอได้แจ้งอายัดแล้วก่อนที่จะเดินทางไปเปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาแม่แจ่ม หมายเลขบัญชี นางภัทรัช วรรณคำ เลขที่บัญชี 059-8-48393-0
นอกจากนี้แล้วยังอยากจะขอฝากไปถึงู่กรณีที่ขับรถชนลูกชาย เมื่อครั้งเป็นคดีความฝั่งพ่อของคู่กรณีได้มาร้องขอช่วยลูกชายที่เป็นคนขับเบ็นซ์ ให้ทางฝั่งนี้ช่วยยอมความเพื่อที่จะให้คดีเบาลง
ทางฝั่งนี้เป็นใจก็ทำตามโดยมีการรับปากว่าจะดูแลน้องปานเหมือนกับลูกชายอีกคน และมาช่วยดูแลเยียวยาทุกอย่าง แต่กลับตรงกันข้ามพบว่าคู่กรณีหายตัวไปไม่สามารถติดต่อได้ โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ บ้างก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่เจ้าของเบอร์ จึงอยากให้กลับมาช่วยดูแลเยียวยาบ้างอย่างที่เคยรับปากตอนขอให้ยอมความในคดีด้วย
แหล่งที่มา: http://guruchiangmai.com