สตรีผู้เป็นจุดเริ่มต้นของวัดราชนัดดาราม และวัดโสมนัส
สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี บรมราชินี
สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์พระองค์นี้ ก็คือ สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี บรมราชินี พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงกำพร้าพระบิดาเมื่อพระชนมายุเพียง ๖ เดือน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตาให้รับมาอุปถัมภ์ในพระบรมมหาราชวัง ก็ยังยังทรงประสบเรื่องโศกเศร้ามาตลอด แต่ทุกครั้งที่ทรงประสบ ก็ได้รับพระเมตตาจากพระมหากษัตริย์ถึง ๒ รัชกาล จนได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระบรมราชินี
สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี มีพระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงโสมนัส พระธิดาพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๓๗๗ เมื่อพระชนมายุได้ ๖ เดือน พระบิดาก็สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระอัยกา (ปู่) จึงโปรดเกล้าฯให้รับพระเจ้าหลานเธอเข้ามาอุปถัมภ์ในพระบรมมหาราชวัง โดยโปรดเกล้าฯให้พระองค์เจ้าวิลัยศรี พระมาตุจฉา (ป้า) เป็นผู้อภิบาล เมื่อหม่อมเจ้าหญิงโสมนัสพระชนมายุได้ ๑๒ พรรษา พระองค์เจ้าวิลัยศรีก็สิ้นพระชนม์ไปอีก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงพระเมตตาพระเจ้าหลานเธอยิ่งขึ้น ทรงสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเสมอพระราชธิดา เป็น พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี และให้ตั้งการพิธีโสกันต์อย่างพิธีของเจ้าฟ้า
นอกจากนี้ยังโปรดให้สร้างวัดเพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระเจ้าหลานเธอ พระราชทานนามว่า วัดราชนัดดาราม ซึ่งก็คือวัดที่ติดกับลานเจษฎาบดินทร์ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ผ่านฟ้า ในขณะนี้
นายแพทย์สมิธ มัลคอล์ม แพทย์หลวงในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้นำข้อมูลจากหนังสือ “The Illness and death of Queen Somanat Watanawadi” จากห้องสมุดสมาคมมิชชันนารี กรุงลอนดอน มาเขียนไว้ใน “ราชสำนักสยาม ในทรรศนะหมอสมิธ” ซึ่งกรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ มีความตอนหนึ่งว่า
“ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทน พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนาง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า นับแต่นี้ต่อไป พระองค์เจ้าโสมนัสจะต้องทรงอยู่โดยปราศจากผู้คุ้มครอง จึงทรงพระเมตตาและสมควรที่จะสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ข้อเสนอดังกล่าวได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ เนื่องจากทุกฝ่ายต่างก็ทราบดีว่า พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่เพิ่งลาสิขา (หลังจากที่ทรงใช้ชีวิตอยู่ในเพศบรรพชิตนานถึง ๒๗ ปี) และยังมิได้ทรงสถาปนาสตรีคนใดขึ้นเป็นพระมเหสีโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้มีรัชทายาทไว้สืบทอดราชบัลลังก์ในภายภาคหน้า พระราชพิธีสถาปนาดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ.๒๓๙๕ ขณะพระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา และพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุ ๔๘ พรรษา นับจากวาระที่ทรงดำรงพระยศเป็นพระอัครมเหสี พระองค์ทรงได้รับการถวายพระเกียรติอันสูงส่ง ทั้งโดยส่วนพระองค์และราชการแผ่นดินจากพสกนิกรชาวสยามทั้งมวล รวมทั้งทรงได้รับคำอำนวยพรและสิ่งของเครื่องบรรณาการจากเมืองประเทศราชใกล้เคียง ตลอดจนสิ่งของที่มอบให้ฉันท์มิตรจากชนชั้นสูงและบุรุษต่างชาติผู้ซึ่งคุ้นเคยกับพระเจ้าอยู่หัวมาก่อน แต่ทว่าเพียงชั่วระยะเวลา ๖ เดือนหลังจากที่พระองค์ทรงตั้งครรภ์ ความสมบูรณ์พูนสุขทั้งหลายก็มีอันสิ้นสุดลง อนิจจา! อาจเป็นด้วยเคราะห์กรรมบันดาล (อำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า บาปบุญคุณโทษและภูตผีปีศาจบันดาลให้เป็น) เคราะห์ร้ายจึงบังเกิดขึ้นกับพระองค์ ๆ ทรงมีพระอาการประชวร ซึ่งแต่แรกทั้งแพทย์หลวงและแพทย์ชาวต่างประเทศต่างก็ลงความเห็นว่า เป็นพระอาการที่มีผลมาจากการตั้งครรภ์ เช่นเบื่ออาหาร อาเจียน ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้
“นับจากวันจันทรคราสที่ ๑ กรกฎาคม พระอาการประชวรดูเหมือนจะจะกลับฟื้นคืนดีมาได้ราว ๔๐ วัน ครั้นพระครรภ์ล่วงเข้า ๖-๗ เดือน พระอาการประชวรก็กลับกำเริบขึ้นมาอีก ล่วงเข้าวันที่ ๑๘ สิงหาคม พระอาการประชวรรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งวันที่ ๒๑ สิงหาคม (เวลา ๑,๐๐ นาฬิกา) สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดีจึงทรงมีพระสูติกาลพระราชโอรสโดยปลอดภัย พระราชโอรสทรงกันแสงและแสดงพระอาการเฉกเช่นทารกโดยทั่วไป แต่ทว่าทรงมีพระพลานามัยอ่อนแอมาก พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางทั้งหลายได้มาประชุมพร้อมกันที่จะรับเสด็จรัชทายาทองค์ใหม่ มีการจัดพระอู่ทองถวายพร้อมด้วยเครื่องศาสตราวุธ สมุด ดินสอ และอื่นๆตามแบบแผนพระราชประเพณี แต่อนิจจา! พระราชโอรสผู้อ่อนแอทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้เพียง ๓ ชั่วโมง ก็สิ้นพระชนม์ลงเมื่อเลา ๔ นาฬิกา ของวันเดียวกัน
“เจ้าพนักงานได้มาอัญเชิญพระกุมารออกไปเงียบๆ ปล่อยให้พระมารดาทรงเข้าพระทัยว่าพระราชโอรสยังทรงมีพะชนม์ชีพอยู่ แต่ประทับอยู่ในห้องอีกห้องหนึ่ง ในคืนเดียวกันนั้นเอง พระอาการประชวรของสมเด็จพระนางเจ้าโสมมนัสวัฒนาวดีก็กลับทรุดลงอีก ทางอาเจียนบ่อยครั้งจนเกรงว่าจะสิ้นพระชนม์เสียเวลานั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทได้ทรงจัดพระโอสถถวาย พระอาการจึงพอทุเลาลงบ้าง วันต่อมาพระเจ้าอยู่หัวและกรมหลวงวงศาธิราชสนิทพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และนางสนมกำนัลในของสมเด็จพระราชินี ได้ประชุมปรึกหารือร่วมกับแพทย์ชาวสยามหลายคน รวมทั้งพวกที่ถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท เห็นควรเรียกตัวหมอบรัดเลย์ แพทย์ชาวอเมริกันเข้ามาถวายการรักษา หมอบรัดเลย์ได้ถวายการรักษาไปตามอาการของโรค ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเพิ่งจะนำมาใช้ในประเทศสยามได้ไม่นาน แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องโอนอ่อนผ่อนตามสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ที่ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทรงอยู่ไฟ (ตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้หญิงสยามภายหลังจากการคลอดบุตร) ตามแบบวิธีของชาวสยาม แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหมอบรัดเลย์และผู้ที่เชื่อถือในการรักษาของเขาอีก ๒-๓ คนก็ตาม ภายใต้การถวายการดูแลรักษาของหมอบรัดเลย์ พระอาการไข้ตลอดจนคลื่นไส้อาเจียนจึงพอทุเลาลงบ้าง พระอาการของโรคยังคงปรากฏบ่อยครั้งต่อเนื่องกันนาน ๗-๘ วัน จนถึงวันที่ ๒๘ สิงหาคม สมเด็จพระราชินีจึงทรงทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระโอรส ๗ วันหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว”
“นับจากวันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคมเป็นต้นมา พระอาการเริ่มทรุดหนักลงเรื่อยๆ ทรงอาเจียนออกมาเป็นน้ำสีดำปนเหลือง และทรงมีอาการไข้แทรกด้วย”
“หมอบรัดเลย์ได้ทูลขอร้องบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง ขอให้สมเด็จพระราชินีเสด็จฯออกจากทรงอยู่ไฟ ซึ่งเป็นผลให้พระอาการประชวรพอทุเลาลงบ้าง แต่ยังคงเสวยพระกระยาหารได้น้อย พระวรกายจึงดูซูบและอ่อนแอลงมาก พระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินียังคงทรงอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งวันที่ ๑๑ กันยายน พระบาททั้งสองข้างเริ่มบวม และยังปรากฏพระอาการอื่นๆที่สร้างความวิตกกังวลแก่พระสหายตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์เป็นอันมาก จึงได้มีการประชุมตกลงกันว่าจะเรียกแพทย์ชาวสยามกลับมาถวายการรักษาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วสมเด็จพระราชินีก็มิได้ทรงให้ความเชื่อถือในการรักษาของหมอบรัดเลย์เท่าใดนัก เนื่องจากเป็นแพทย์ชาวต่างชาติ หลังจากที่พระองค์กลับมาอยู่ในความดูแลของแพทย์ชาวสยามอีกครั้งนั้น ก็ยังไม่ปรากฏว่าพระอาการจะดีขึ้น ซ้ำยังกลับทรุดหนักลงไปอีก จนถึงกับไม่มีแพทย์สยามคนใดกล้าที่จะถวายการรักษาอีกต่อไป ในช่วงนั้นเอง หมอบรัดเลย์จึงถูกเรียกตัวกลับมารักษาอีกครั้ง”
“นับตั้งแต่หมอบรัดเลย์กลับมาถวายการรักษาจนถึงวันที่ ๑๖ กันยายน พระอาการดูจะทุเลาลงบ้างเล็กน้อย แต่เนื่องจากพระองค์ยังทรงอาเจียนอยู่อย่างต่อเนื่อง พระวรกายจึงอ่อนแอลง และเป็นผลให้ทรงเบื่อพระกระยาหาร ไม่เคยปรากฏว่าจะมีวันใดที่พระองค์จะไม่ทรงอาเจียนอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่มีพระโอสถขนานใดที่จะรักษาพระอาการนี้ให้หายไปได้ จนถึงขณะนี้พระอาการเริ่มไม่เป็นที่ไว้วางพระทัย พระวรกายตลอดจนพระพักตร์เริ่มเหลือง แพทย์ชาวสยามจึงถูกเรียกตัวกลับมาดูพระอาการอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครยอมรับที่จะถวายการรักษา เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จึงได้มีการประกาศให้รางวัลเป็นเงินหลายชั่งแก่ผู้ที่สามารถรักษาสมเด็จพระราชินีให้หายจากพระโรคได้ เมื่อหมอบรัดเลย์กลับมาถวายการรักษาอีกครั้งนั้น พระอาการได้ทรุดหนักลง พระทัยเต้นเร็วผิดปกติ และในวันที่ ๑๗ กันยายน ทรงมีพระอาการเพ้อ ในวันเดียวกันนั้นได้มีการป่าวประกาศให้รางวัลเป็นเงิน ๒ ชั่งแก่ผู้ที่สามารถรักษาพระอาการให้ทุเลาลงได้ มีข้าราชสำนักเก่าแก่ผู้หนึ่งได้ขอเข้ามาตรวจดูพระอาการ แต่ทว่าเขาผู้นั้นไม่เข้าใจในพระอาการของโรคอย่างแท้จริง จึงวินิจฉัยว่าเป็นเพราะมิได้ทรงอยู่ไฟ และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเป็นผู้ถวายการรักษา”
เรื่องราวเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดีสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ เนื่องจากมีเอกสารบางหน้าขาดหายไป สำหรับหน้าสุดท้ายที่เหลือ มีข้อความปรากฏดังนี้
“ด้วยเหตุที่พระนางทรงมีผู้สนิทสนมคุ้นเคยอยู่เกือบจะทั่วทุกแว่นแคว้นในประเทศสยามและประเทศใกล้เคียง มีจีน ปัตตาเวีย มะละแหม่ง และชาวต่างชาติที่เคยเป็นพระสหายใกล้ชิดกับพระเจ้าอยู่หัวมาก่อน และได้กลายเป็นพระสหายของพระนางด้วย พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดทำเรื่องราวเกี่ยวกับพระอาการประชวรและเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดีเป็นภาษาสยาม ออกแจกจ่ายทั่วพระราชอาณาจักรและประเทศใกล้เคียง ทั้งทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้จัดแปลต้นฉบับเดียวกันนี้เป็นภาษาอังกฤษ แล้วนำมาจัดพิมพ์เพื่อแจกจ่ายไปยังพระสหายชาวอังกฤษของพระนาง เพื่อทุกคนจะได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง”
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอาลัยในสมเด็จพระอัครมเหสีเป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้างวัดพระราชทานเป็นอนุสรณ์ คือ วัดโสมนัสวิหาร โดยใช้ทุนทรัพย์จากมรดกของพระนาง
ข้อมูลที่เกิดขึ้นนี้ มีปรากฏอยู่ในพงศาวดารอยู่เพียง ๓ บรรทัด ความว่า
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าโสมนัส ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติภายหลังบรมราชาภิเษกแล้ว เจ้าฟ้าพระองค์นี้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่วันประสูติ ซึ่งถ้าหากยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็จะส่งผลให้สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรงหมดโอกาสที่จะเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ที่มาคลังประวัติศาสตร์ไทย