เพจดังวิเคราะห์!! กระแสดราม่ากรณี ปั้นจั่น กับภาพยนตร์รัก 2 ปียินดีคืนเงิน คาดหนังเรื่องนี้น่าจะทะลุกำแพง 30-40 ล้านบาทได้ไม่ยาก
เมื่อเพจ Drama-addict แชร์และคิดเห็นกับ กระแสดราม่ากรณี ปั้นจั่น กับภาพยนตร์รัก 2 ปียินดีคืนเงิน
เขียนดีนะ ส่วนตัวคิดว่าโพสปั้นจั่นก็มีผล
แต่เรื่องการตลาด การโปรโมทของหนังก็มีส่วนนะ
คือก่อนจะมีดราม่าปั้นจั่น ไม่เคยได้ข่าวหนังเรื่องนี้จริงๆ
ไม่รู้โปรโมทกันยังไง เทรลเลอร์นี่ก็สำคัญ
คือพล๊อตแบบนี้ ต้องดาราระดับแม่เหล็กดึงดูด
หรือไม่ก็ต้องมีจุดขายเช่น พล๊อตที่มันแหวกแนวมากๆ
ว่าแต่นี่เพจวิเคราะห์บอลหรือวิเคราะห์หนังวะ ถถถถถถ
จากต้นเรื่องของเพจ วิเคราะห์บอลจริงจัง
มีลูกเพจหลังไมค์มาถามว่า คิดอย่างไรบ้างเรื่อง กระแสดราม่ากรณี ปั้นจั่น กับภาพยนตร์รัก 2 ปียินดีคืนเงิน
เยี่ยมไปเลย ตอนนี้วิเคราะห์บอลจริงจัง กระจายการวิเคราะห์ไปทุกเหตุการณ์ ทุกวงการแล้ว 555
แต่ก็ใช่ครับ เรื่องนี้น่าสนใจจริงๆ งั้นลองมาดูในมุมของแอดมินบ้างนะ
อันนี้ผมขอประกาศจุดยืนก่อนที่ทุกคนจะเริ่มอ่านกันว่า
1) ผมมี Position ทางการเมืองของตัวเองอยู่ แต่ผมไม่เคยบอกใคร มันเป็นความลับของตัวเองครับ
และ 2) ผมเชื่อว่าทุกคนบนโลกมีสิทธิ 100% ในความคิดของตัวเองครับ ดังนั้นเรื่องหนังจะไปดู หรือจะไม่ไปดู ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ไม่มีใครห้ามเราได้ครับ
----------------------------------------------------
จริงๆแล้ว แอดมิน รู้เรื่องโปรเจ็กต์ รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน ตั้งแต่ราวๆ 6-7 เดือนก่อนครับ
คุณโจ้ - วิรัตน์ เฮงคงดี ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องยอดมนุษย์เงินเดือน ที่ได้รับคำชมเยอะมากๆ เขาเป็นแฟนเพจของวิเคราะห์บอลจริงจังอยู่ครับ
แล้ววันหนึ่งเราสองคนมีโอกาสได้รู้จักกัน พี่เขาก็เล่าให้ฟัง ว่ากำลังมีโปรเจ็กต์สร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่
โดยคอนเซ็ปต์ของเรื่อง จะเอาแนวคิดมาจากประกันภัยที่เคยมีขายจริงในประเทศจีนครับ
โดยประกันดังกล่าว ชื่อ Love Insurance คุณกับคู่รักจะจ่ายเงินจำนวน 297 หยวน ในวันนี้ และถ้าหากอีก 3 ปีต่อมาได้แต่งงานกัน บริษัทประกันจะจ่ายเงินคืนให้ 5997 หยวน
นั่นเพราะบริษัทประกันภัย อ้างอิงจากสถิติว่าคู่รักในจีน 98.39% จะมีปัญหากันภายในช่วง 3 ปีเสมอ คือไม่เลิกกัน ก็มีใครสักคนไม่พร้อมจะแต่งงาน และแยกทางไป
Love Insurance ก็โดนวิจารณ์เยอะว่า มันเข้าข่าย "พนัน" หรือเปล่า ไม่ใช่ประกันจริงๆเสียหน่อย
แต่จนถึงวันนี้ก็ยังมีคนพร้อมเดิมพันอยู่ คือเอาความรักของตัวเองไปวัดใจกัน เพราะใครๆก็คิดว่าความสัมพันธ์ของตัวเอง มันคงไปรอดทั้งนั้นแหละจริงไหม
จากไอเดียของประกันภัยในจีน นักเขียนบทชาวเกาหลีได้เอามาต่อยอดทำเป็นบทภาพยนตร์ ให้กับค่าย CJ Major
จากนั้น CJ Major ต้องการนำเรื่องนี้มาเปิดตลาดหนังในไทย และได้เลือกคุณโจ้ เป็นผู้กำกับครับ
คุณโจ้เล่าให้ผมฟังว่า ไอเดียคืออยากให้พระเอกเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย เป็นคนออกแบบเจ้าประกันความรักอันนี้ เพราะพระเอกเชื่อว่า ความรักมันไม่จีรัง คนเรายุคนี้คบกันแป้บเดียวก็เลิกกันแล้ว
ถ้าหากมีประกันนี้จริงๆรับรองว่าบริษัทต้องได้กำไรรวยเละเทะแน่
ส่วนนางเอก นั้นจะเป็นธาตุตรงข้าม เธอจะเชื่อและศรัทธาในความรัก ก็จะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะยืนยันว่า ประกันอันนี้ มันไม่เวิร์ก
จากความขัดแย้งในความคิด ทั้ง 2 คนก็จะสู้กันเพื่อพิสูจน์ว่าใครถูกกันแน่ และสตอรี่ก็จะขมวดมาสู่ความสัมพันธ์ของ พระเอกกับนางเอก
จากที่ฟัง ไอเดียหลักของเรื่องถือว่าดูดีเลยทีเดียวครับ
----------------------------------------------------
ในวันนั้น คุณโจ้ ส่งบทหนังมาให้ผมอ่านเลยนะครับ พี่เขาบอกว่า "ช่วยอ่านทีได้ไหม ถ้ามีอะไรผิดพลาด ควรปรับเติมตรงไหนก็บอกได้"
ผมก็ตอบพี่เขาไปว่า ผมไม่คิดจะอาจเอื้อมครับ จะไปกล้าแนะนำเขาได้ไง เพราะเป็นเหมือนการสอนหนังสือสังฆราชชัดๆเลย แล้วก็บอกว่าจะรอดูภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ
ผมจำภาพพี่เขาวันนั้นได้ดีมากครับ ว่าเขามาคุยด้วยดวงตาสดใส และเป็นประกาย แค่เราดูก็รู้ ว่าเขาจริงจังกับภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ
ผมถามพี่เขาต่อว่า พระเอก-นางเอก เรื่องนี้ใครหรอ?
"ปั้นจั่น กับ เอสเธอร์น่ะครับ" พี่โจ้ตอบ
ชื่อนักแสดงอาจไม่ใช่ระดับบิ๊กเนม แต่ส่วนตัวผมคิดว่าก็น่าจะไปได้ เพราะหนังโรแมนติก คอมเมดี้แบบนี้ จุดเด่นคือขายที่บท ถ้าบทดีเสียอย่างหนังก็ไปรอด
เหมือนอย่าง Crazy Rich Asians ไม่มีบิ๊กเนมสักคนแต่ก็ยังเป็น Blockbuster ได้ หรืออย่าง 500 Days of Summer ได้พระเอกโจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ (ที่ดังระดับกลางๆ ณ ตอนนั้น) กับ โซอี้ เดสแชนแนล ซึ่งก็ไม่ใช่ตัวท็อปของวงการ แต่พอได้บทดี ก็ยิ่งส่งเสริมให้พวกเขาเฉิดฉายยิ่งขึ้น
ปั้นจั่นนั้นสร้างชื่อมาจากวง Nice 2 meet you ก่อนมาดังเปรี้ยงจากละครบุพเพสันนิวาส ขณะที่สกิลการเล่นภาพยนตร์ก็ถือว่าโอเคเลย ผมดูเรื่อง Driver เขารับบทเป็นคนขับรถที่แอบซ่อนความเป็นเกย์ ถือว่าเล่นได้มีพลัง ส่วนเอสเธอร์ นั้นหน้าตาน่ารักดูไม่น่าเบื่อ ซึ่งก็เหมาะกับหนังแนวนี้นะ
เวลาผ่านไป หนังก็ค่อยๆสร้างไปเรื่อยๆ พอสร้างเสร็จก็เริ่มมีการโปรโมทเป็นลำดับ มีการเลือกวางวันฉายไม่ให้ตรงกับหนังบิ๊กเนมจัดๆอย่าง Avengers ทุกอย่างดำเนินการอย่างรอบคอบเป็นขั้นเป็นตอน
ส่วนตัวผมคิดว่า ด้วยความเป็น Rom Com และมีผู้กำกับที่ไว้ใจได้ หนังเรื่องนี้น่าจะทะลุกำแพง 30-40 ล้านบาทได้ไม่ยากนะ
แต่ทว่า ณ เวลานั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุของปั้นจั่นขึ้น
----------------------------------------------------
ก่อนภาพยนตร์เข้าโรง 2 สัปดาห์เศษ เป็นช่วงที่ทีมงาน PR ต้องเร่งสร้างกระแสให้มากที่สุด เพื่อให้คนไปดูให้ได้มากที่สุดในช่วง 3-4 วันแรก ซึ่งจากนั้น ถ้าหนังดีจริง คนก็จะบอกกันปากต่อปากเอง
สิ่งที่คนสร้างหนังอยากให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด คือ ดราม่าที่ไม่จำเป็น
เหมือนก่อนวันเลือกตั้ง ถ้าผู้สมัครคนหนึ่งไปมีข่าวฉาวอะไรสักอย่าง รับรองว่าคะแนนเสียงคงตกฮวบ ดังนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ที่กำลังจะฉาย ต้องระมัดระวังให้ดีที่สุด
แต่ทว่า 6 มิถุนายน ปั้นจั่นก็โพสต์ลงเฟซบุ๊กของตัวเองว่า
"คสช. อยู่มา 4-5 ปี บอกสืบทอดอำนาจ ได้อยู่ต่ออีก 3 ปี ก็ยังบอกสืบทอดอำนาจ แล้วไอ้ที่สืบๆกันมา จนลูกจบนอกขับรถซูเปอร์คาร์นี่มันยังไง ตูไม่เห็นจะมีนักการเมืองใช้ชีวิตธรรมดาสักคน ต้นทุนบางคนที่ได้มาจากพ่อแม่ ก็เอามาจากภาษีประชาชนทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าบ่นมาก ทำมาหากินไป มีเยอะก็เอาไปช่วยคนอื่นละกัน ทำบุญเยอะๆ ไม่ใช่แดกแต่เหล้า ปาร์ตี้มันทุกคืน"
ปั้นจั่นโพสต์ให้เห็นเฉพาะ Friends แต่เรารู้กันอยู่แล้วว่าในโลกออนไลน์ มันไม่มีทางหยุดอยู่ที่ Friends อยู่แล้ว ทันทีที่คุณโพสต์ไป คนก็จะแคปหน้าจอแล้วส่งต่อทันที
และอย่าลืมว่าทันทีที่คุณเป็นดารานักแสดง เท่ากับว่าคุณขายความเป็นส่วนตัวไปเรียบร้อยแล้ว ประชาชนย่อมมีสิทธิวิจารณ์คุณได้ทุกอย่างในกรอบของกฎหมาย
ชาวเน็ตเมื่อได้อ่านแล้ว จึงเดือดดาลทันที ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะคำที่ปั้นจั่นใช้มันไม่ดีจริงๆ
เขาเลือกใช้คำว่า "ฉะนั้นอย่าบ่นมาก ทำมาหากินไป" และ "ไม่ใช่แดกแต่เหล้า ปาร์ตี้มันทุกคืน"
การใช้คำแบบนี้คนอ่านรู้สึกว่าโดนดูถูก เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ถ้าหากคุณเห็นว่า ประเทศชาติ มันมีสิ่งต่างๆที่ไม่ชอบมาพากล ทำไมเราจะไม่มีสิทธิบ่นล่ะ คือต้องก้มหน้าก้มตาทำงานหากินอย่างเดียวหรอ นี่ก็ประเทศของเราเหมือนกันนะ
จริงๆ ผมคิดว่า คุณจะเชียร์ใคร พรรคไหนก็ไม่สำคัญ หรือจะชอบระบอบการเมืองแบบไหนมันก็เป็นสิทธิของคุณนะ คนเรามีความคิดในเรื่องต่างๆไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
สมมติว่าปั้นจั่นพิมพ์แค่ว่า "ผมขอให้กำลังใจรัฐบาลชุดนี้ครับ" เรื่องก็คงไม่มีอะไรบานปลาย ก็เป็นการแสดงออกธรรมดา
แต่จุดที่ปั้นจั่นล้ำเส้นไป คือคำว่า "อย่าบ่นมาก ทำมาหากินไป" ทำไมคนเราจะไม่มีสิทธิพูดล่ะ คุณมีความสุข ไม่ใช่ว่าเราต้องเอ็นจอยด้วยนี่
นั่นทำให้ Feedback โต้กลับมาอย่างหนักทันที ยิ่งเรื่องการเมืองในไทยมันก็ร้อนอยู่แล้ว ส่งผลให้ปั้นจั่นกลายเป็นศัตรูของคนครึ่งประเทศ
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ภาพยนตร์รัก 2 ปีกำลังจะเข้าฉาย ทำให้ผู้คนรู้ว่าวิธีที่จะตอบโต้ปั้นจั่นได้ดีที่สุดคืออะไร นั่นคือไม่สนับสนุนผลงานของดาราหนุ่มคนนี้นั่นเอง
----------------------------------------------------
ผมเชื่อนะว่า ถ้าไม่มีกรณีปั้นจั่น เรื่องนี้น่าจะจบได้ที่ 30-40 ล้านจริงๆ
หนังไทย ถ้าทำโปรดักชั่นดีเสียอย่าง คนก็พร้อมเสียเงินเพื่อเป็นกำลังใจให้
อย่างผมเอง ก็เสียเงินในโรงให้หนังไทยอย่าง Homestay แสงกระสือ หรือ Girls Don't Cry นะครับ
รัก 2 ปี คือตัวหนังอาจไม่ได้ทะลุ 200 ล้านอะไรขนาดนั้น แต่ก็มั่นใจได้ว่าเรื่องความรักกุ๊กกิ๊กแบบนี้ น่าจะมีคนเข้าโรงได้เรื่อยๆ
ถ้าตัวหนังดี เดี๋ยวก็มีคนรีวิวมาเรื่อยๆ พอรีวิวเป็นบวก ก็นำมาสู่คนดูกลุ่มใหม่ๆ
แต่พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ยอดคนดูในสัปดาห์แรกย่อมต้องต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้การรีวิวน้อยลง การพูดถึงน้อยลง
ในโลกออนไลน์ถ้าจะพูดถึงรัก 2 ปี ก็จะไปพูดถึงปั้นจั่นก่อน แทนที่จะพูดถึงประเด็นอื่นในตัวหนัง
นั่นทำให้ผู้สร้างอาจต้องทำใจเปลี่ยนเป้าหมายแทน มาอยู่ในระดับที่น้อยกว่านั้น
ขาดทุนคงไม่ แต่ว่าก็น่าเสียดายที่มันไม่ไปไกลมากกว่านี้
บางคนอาจจะบอกว่า อ้าวแล้วเลือกปั้นจั่นเป็นพระเอกทำไมล่ะ คือ ตอนที่แคสต์กัน ผมว่าคงไม่มีใครคิดหรอกว่าปั้นจั่นจะคิด หรือโพสต์อะไรแบบนี้
แต่เหตุการณ์นี้มันถ่ายทำเสร็จไปหมดแล้ว และเตรียมปล่อยภาพยนตร์แล้ว มันเป็นวิกฤติที่ทีมงานไม่สามารถถอยหลังกลับได้แล้ว
-------------------------------------------------
ส่วนตัวแอดมินแล้ว ไม่ได้สนใจว่าใครจะดู หรือไม่ดูเรื่องนี้ครับ คือตัวเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร
ทุกคนถือเงินของตัวเองในมือ ดังนั้นจึงมีสิทธิเลือกได้ว่าจะใช้เงินของตัวเองอย่างไร
อยากไปดูเพราะชอบหนังโรแมนติก คอมเมดี้ , อยากไปดูเพราะเชียร์ปั้นจั่น, อยากไปดูเพราะชอบผู้กำกับคนนี้
ไม่อยากไปดูเพราะน่าจะไม่สนุก , ไม่อยากดูเพราะไม่อยากสนับสนุนปั้นจั่น , ไม่อยากดูเพราะต่อให้ไม่มีประเด็นอะไรก็ไม่ดูเรื่องนี้อยู่แล้ว
ทุกคนย่อมมีเสรีภาพในการเลือกจะทำอะไรก็ตาม
แต่สิ่งที่เล่ามาตรงนี้คือ เพียงแค่อยากให้เห็นว่าในกระบวนการผลิตอะไรหนึ่งอย่าง คนที่รังสรรค์มันขึ้นมาไม่ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น
ในเบื้องหลังของงานหนึ่งชิ้น มีคนจำนวนมากที่ใช้พลังชีวิต ช่วยกันสร้างให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เครดิตของการสร้างหนัง มันจึงมีคนที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ที่ไม่ใช่แค่นักแสดงเท่านั้น
ภาพยนตร์เริ่มต้นจากคนเขียนบทที่มี Big Idea เมื่อมี Big Idea แล้วก็ต้องเริ่มเขียน Treatment
เขียน Treatment ผ่าน เข้าสู่กระบวนการผลิต มีโปรดิวเซอร์คอยจัดการเรื่องสำคัญ มีผู้กำกับที่วางทิศทางเรื่อง มีผู้กำกับภาพ มีซาวด์ มีคอสตูม มีช่างภาพ มีคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ทีมงาน Casting ตัวประกอบฉาก ศิลปินรับเชิญ ทีมงาน PR ฯลฯ
คนเกี่ยวข้องเยอะแยะไปหมด ซึ่งทุกคนก็ทำงานอย่างเต็มที่ และมีความหวังว่า สิ่งที่ตัวเองมีส่วนร่วม มันจะประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากสังคม
แต่สุดท้ายกลับต้องโดนมาโยงอยู่ในกระแสดราม่าที่ไม่ควรเกิดขึ้น
-------------------------------------------------
เรื่องนี้ ผมว่าน่าจะเป็น Case Study ให้วงการบันเทิงได้เลยว่าในยุคที่โซเชียลเน็ตเวิร์กมันเข้าถึงทุกคนหมด การโพสต์อะไรสักอย่างมันมีผลจริงๆ
ทางแก้ปัญหา อนาคตทีมงาน Casting แค่ดูเรื่องฝีมือว่าใครเหมาะกับบทอาจไม่พอแล้ว แต่ต้องดูลงลึกไปจนถึงทัศนคติกันเลย
นอกจากนั้น อาจต้องมีการเซ็นสัญญา กับนักแสดงว่าก่อนหนังเข้าฉาย ห้ามพาดพิง ห้ามโพสต์ใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อภาพยนตร์
เพราะไม่ใช่ว่าสร้างปัญหาแล้วทุกอย่างจะจบโดยดี มันไม่ง่ายขนาดนั้น คุณไม่ได้โดนด่าคนเดียว แต่มันส่งผลกระทบต่อความตั้งใจของทุกคน
ถ้าเราอุตส่าห์สร้างงานสักชิ้นขึ้นมา ใช้เวลาร่วมปี ในการพัฒนามันจนสามารถออกสู่ตลาดได้
แต่สุดท้ายกลับไปได้ไม่ไกล เพราะเจอเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้แบบนี้ มันก็พูดไม่ออกเหมือนกันนะ
ดังนั้นที่ผู้กำกับคุณโจ้ ออกมาโพสต์ว่าสวัสดีความซวย ก็ไม่ใช่คำที่เกินเลยแต่อย่างใด
ในมุมของคนสร้างผลงาน แทนที่จะได้ลุ้นว่าหนังจะปังไหม กลับต้องมาแก้ Crisis แทน
จากที่จะได้ชื่อเสียงเป็นผู้กำกับร้อยล้าน กลายมาเป็นต้องลุ้นวันต่อวัน
ซึ่งคำว่าซวย ผมคิดว่า มันก็ชัดเจนที่สุดแล้วล่ะครับ
แหล่งที่มา: https://www.facebook.com/DramaAdd/posts/10157609614573291