การส่งลูกหลานไปเรียนถึงเมืองนอก ไม่ได้เริ่มในยุครัตนโกสินทร์ คนไทยได้มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว
การส่งลูกหลานไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา ไม่ได้เริ่มในยุครัตนโกสินทร์อย่างที่เข้าใจกัน คนไทยได้มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แล้ว
จากการที่ชาวยุโรปได้เข้ามาในกรุงศรีอยุธยากันอย่างมากมาย ถ่ายทอดวิทยาการอันหลากหลายให้คนไทยได้ประจักษ์ สมเด็จพระนารายณ์จึงทรงมีความคิดว่า การที่อยุธยาได้รับความรู้จากฝรั่งที่เข้ามาเพียงอย่างเดียวนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการสร้างความเจริญ การส่งคนไทยให้ไปร่ำเรียนถึงประเทศในยุโรป น่าจะเป็นประโยชน์มหาศาล เพื่อจะได้นำวิชาการทั้งหลายกลับมาสร้างคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรสืบไป
พระองค์จึงทรงคัดเลือกลูกของข้าราชการไทยจำนวน ๑๒ คน ให้ติดตามคณะราชทูต ซึ่งนำโดยออกพระวิสูตรสุนทร (โกษาปาน) ไปยังประเทศฝรั่งเศส พร้อมทั้งทรงมอบหมายให้คณะบาทหลวงที่ติดตามราชทูต ช่วยเหลือจัดการด้านที่อยู่อาศัยและผู้อุปการะเด็กๆ เหล่านี้ด้วย นักเรียนทั้งหมดเดินทางถึงฝรั่งเศสราว พ.ศ.๒๒๓๐
จดหมายเหตุบาทหลวงชาวฝรั่งเศสบันทึกรายชื่อเด็กนักเรียนนอกรุ่นแรกของสยามประเทศได้ดังนี้...
คนที่ ๑ ชื่อ “พี” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Pierre Emmanuel” มีท่านดุ๊ก ดิ อัลแบร์ต เป็นผู้อุปถัมป์
คนที่ ๒ ชื่อ “เพ็ชร” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Jean Baptiste” มีท่านมองสิเออร์ ไบล์ลี่ กับมาดามรอยล์ลี่ เป็นผู้อุปถัมป์
คนที่ ๓ ชื่อ “อ่วม” เปลี่ยนชื่อเป็น “Paul Artus” ได้เชอวาลิเยร์ เดอ โชมอง (ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาถวายพระราชสานส์แด่สมเด็จพระนารายณ์) และมาดามเดอ ลีออน เป็นผู้อุปถัมป์
คนที่ ๔ ชื่อ “ชื่น” เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Louis” ได้มองสิเออร์ เปเลตติเยร์ ที่ปรึกษาสภา กับมาดาม ดิ อัลลิเกร เดอ บุยแลงเดรย์ เป็นผู้อุปถัมป์
คนที่ ๕ ชื่อ “ไก่” มีอาชีพเป็นช่างทอง เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Francois Xavier” ได้สังฆราช มิลลง กับมาควิส เด รุยส์ซี่ เป็นผู้อุปถัมป์
คนที่ ๖ ชื่อ “มี” เปลี่ยนชื่อเป็น “Henri Olivier” ได้บาทหลวง เดอ ฟองซี่ เป็นผู้อุปถัมป์
คนที่ ๗ ชื่อ “ด่วน” มีอาชีพเป็นช่างก่อสร้าง เปลี่ยนชื่อเป็น “Philippe” มีมองสิเออร์ เดอ คาสติลลี่ กับมาดาม เดอ เพรสซั่น เป็นผู้อุปถัมป์
คนที่ ๘ ชื่อ “สัก” เปลี่ยนชื่อเป็น “Francois” ได้มองสิเออร์ ดู รุย พอลลู กับมาดาม เดอ วาลิเยร์ เป็นผู้อุปถัมป์
คนที่ ๙ ชื่อ “เทียน” เปลี่ยนชื่อเป็น “Tiiomas” ได้มองสิเออร์ เดอ ลาร์กนีย์ กับมาดามครุยส์เซตโต้ เป็นผู้อุปการะ
และคนที่ ๑๐ ชื่อ “วุ้ม” เปลี่ยนชื่อเป็น “Nicolas” ได้ผู้อำนวยการราชบริษัทอินเดียฝ่ายตะวันออก กับมาดามโกรสแลง ภรรยาของเจ้าของโรงแรมที่คณะราชทูตพักอยู่เป็นผู้อุปการะ
ส่วนเด็กคนที่ ๑๑ ไม่ได้ระบุชื่อ ในบันทึกเพียงแต่บอกว่ากำลังป่วยมาก และถ้าหายป่วยแล้วจะได้มาดามเดอลากิสส์ เป็นผู้อุปถัมป์ ส่วนคนที่ ๑๒ นั้นไม่ได้ระบุเสียเฉยๆ คาดว่าน่าจะเสียชีวิตในระหว่างเดินทาง
เด็กทั้ง ๑๐ คน ได้ทำพิธีเข้ารีตรับศีลจุ่ม ณ มหาวิหารแซงต์ ซุลปิซ (Saint Sulpice) กรุงปารีส แล้วก็เข้ารับการศึกษาที่ “โรงเรียนหลุยส์เลอกรัง” (Lycée Louis le Grand : โรงเรียนเดียวกับที่วอลแตร์เคยเรียน) ซึ่งในบันทึกระบุว่าเป็นการเรียนศาสนา, วิชาทำน้ำพุ, วิชาก่อสร้าง และวิชาช่างเงินช่างทอง
พวกเขาใช้เวลาเรียนได้ราว ๗ ปี ก็มีข่าวจากเมืองสยามว่าสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต เกิดการปฏิวัติขับไล่ชาวฝรั่งเศสครั้งใหญ่ เมื่อสิ้นบุญสมเด็จพระนารายณ์ก็ไม่มีผู้อุปการะคุณเด็กเหล่านี้อีกต่อไป พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จึงส่งเด็กนักเรียนนอกรุ่นแรกนี้ทั้งหมดกลับสู่กรุงศรีอยุธยา
หลังจากนั้น เรื่องราวของเด็กนักเรียนฝรั่งเศสรุ่นแรกก็หายไป ไม่ปรากฏในบันทึกฉบับไหนอีกเลย เราจึงไม่ทราบได้ว่าพวกเขาได้นำวิชาการที่ร่ำเรียนมาสร้างประโยชน์ใดแก่บ้านเมือง....
**ภาพ : คณะราชทูต นำโดยโกษาปาน และโรงเรียนหลุยส์เลอกรัง (Lycée louis le grand) กรุงปารีส โรงเรียนของนักเรียนฝรั่งเศสรุ่นแรกแห่งสยาม**
***อ้างอิง : ประชุมพงศาวดารเล่ม ๒๐ จดหมายเหตุของคณะบาทหลวงฝรั่งเศส และ แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ น.พ.วิบูล วิจิตรวาทการ
แหล่งที่มา: https://www.facebook.com/historyofAyutthaya/photos/a.1676636215709695/1706698659370117/?type=3&theater