ประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลจีนอยากลบเลือนและระบบการศึกษาที่สอนให้"สำนึกในความผิดพลาด"
🌟 4 มิถุนายน ค.ศ. 1989 🌟
“การลุกฮือต่อต้านเผด็จการของชาวจีน”
Tian'anmen (天安门) หรือ ‘ประตูสู่สันติ’
เป็นสถานที่สำคัญที่ตั้งอยู่ ณ กรุงปักกิ่ง
และยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของชาติอีกด้วย 🇨🇳
แต่ครั้งหนึ่งในอดีต.. สถานที่แห่งนี้
เคยเกิดเหตุการณ์สุดสลด
อันเป็นประวัติศาสตร์ดำมืดของจีนยุคใหม่
.
Hu Yaobang ผู้นำระดับสูงจากพรรคคอมมิวนิสต์
ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักปฏิรูปการเมืองจีน”
ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังจากที่เขาแสดงความอ่อนข้อ
ต่อประชาชนผู้ต้องการประชาธิปไตย,
เรียกร้องให้รัฐบาลฟังเสียงคนรุ่นใหม่มากขึ้น,
และเคยเสนอให้ทิเบตมีอำนาจปกครองตัวอย่างจริงจัง
และแล้ว.. ในวันที่ 15 เมษา ค.ศ. 1989
Hu Yaobang ก็เสียชีวิตลงกระทันหันด้วยโรคหัวใจ
การเสียชีวิตของ Hu Yaobang
ส่งผลให้นักศึกษาจำนวนมากออกมาไว้อาลัยให้กับเขา
และได้เริ่มการชุมนุมประท้วง ณ จัตุรัสเทียนอานเหมิน
เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศ & ปราบคอรัปชั่น
การประท้วงค่อย ๆ ขยายวงใหญ่ขึ้นโดยมีนักศึกษาเป็นทัพหน้า
ประชาชนจากภาคสังคมต่าง ๆ เข้ามาร่วมแจม
มีการนำรูปจำลองเทพีเสรีภาพมาตั้งไว้
👀 ดูภาพ ------>
ทางด้านสื่อจีนก็พยายามกระพือข่าว
ว่านักศึกษามีแผนจะโค่นล้มพรรคคอมมิวนิสต์
เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในขณะนั้น
เห็นว่าหากใช้เพียงกำลังตำรวจ
ไม่น่าจะหยุดยั้งเหล่าผู้ประท้วงได้
จึงต้องให้กองทัพออกมาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย 🛡️
.
คืนวันที่ 19 พฤษภา
ทางการจีนประกาศกฎอัยการศึก
พร้อมทั้งประกาศผ่านโทรทัศน์ว่า
“ประเทศกำลังเผชิญภัยคุกคามใหญ่หลวง”
.
เช้าวันที่ 22 พฤษภา
เฮลิคอปเตอร์ทหารโปรยใบปลิวเหนือจัตุรัสเทียนอานเหมิน
เพื่อสั่งให้เหล่าผู้ชุมนุมแยกย้ายกันออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด
👀 ดูภาพ --- >
.
คืนวันที่ 3 ถึงเช้าวันที่ 4 มิถุนายน
รัฐบาลจีนส่งทหารพร้อมอาวุธและขบวนรถถัง
เข้าระดมยิงปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
มีประชาชนหลายคนถูกรถถังเหยียบร่างจนเสียชีวิต
บางคนฟื้นมาอีกทีก็พบว่าขาทั้งสองข้างขาดหายไปแล้ว
🥀 ภาพศพผู้ชุมนุมที่แหลกละเอียด
จากการบดขยี้ของรถถัง --- >
🥀 ภาพทหารติดอาวุธ 10 นาย
รุมทำร้ายนักศึกษาจนถึงแก่ความตาย --->
🥀 ภาพญาติพี่น้องที่โศกเศร้า
ต่อการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก --->
🥀 ภาพกลุ่มนักศึกษา
แบกเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บไปโรงพยาบาล --->
🥀 ภาพพลเมืองจีนที่แอบอยู่หลังรถยนต์
ในขณะที่รถถังเคลื่อนผ่าน --- >
🥀 ภาพชายผู้ถูกศาลตัดสินประหารชีวิต
ข้อหาก่อจลาจลต่อต้านรัฐบาลจีน --- >
.
ทั้งนี้.. สื่อต่างชาติแต่ละสื่อระบุจำนวนผู้เสียชีวิตไม่ตรงกัน
และทางรัฐบาลจีนก็ไม่เคยออกมาเปิดเผยยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ
แต่มันก็เป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่
และทำให้รัฐบาลจีนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ในแง่ของการละเมิดสิทธิมนุษยชน 💢💢
รัฐบาลจีนไม่เคยออกมารับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
และไม่เคยมีฆาตรกรคนไหนที่ฆ่าประชาชนแล้วถูกลงโทษ
.
.
การออกมาเสียสละชีวิตเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนชาวจีน
จบสิ้นลงไปด้วยความล้มเหลว
อีกทั้งยังทำให้พรรคคอมนิวนิสต์อยู่รอดแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้
จะเห็นได้ว่าผู้นำจีนมักจะหลีกเลี่ยงการสะกิดบาดแผลเหตุการณ์เทียนอานเหมิน
แม้แต่หนังสือชีวประวัติของ Hu Yaobang
ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดถึงช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา
และเมื่อใกล้ถึงวันครบรอบเหตุการณ์นองเลือดเทียนอานเหมิน
เหล่าบรรดานักเคลื่อนไหว, นักกฎหมาย, นักวิชาการ
ก็มักจะถูกรัฐบาลกักตัวหรือจำกัดเสรีภาพ ให้ต้องอยู่แบบเงียบ ๆ
ซึ่งอันที่จริง
ถ้าหากทางพรรคคอมมิวนิสต์ยอมให้มีการชำระประวัติศาสตร์
อาจจะช่วยให้ทางพรรคได้รับการสนับสนุนมากขึ้นด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกับที่ครั้งหนึ่งพรรคคอมมิวนิสต์เคยยอมรับว่า
เหมาเจ๋อตงทำผิดพลาดในช่วงการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” 😞
แต่นั่นคงเป็นความฝันที่ไกลเกินไป
เนื่องจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
รัฐมนตรีกลาโหมจีนยังคงยืนยันว่า
“การปราบปรามประชาชน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน”
เป็นเรื่องที่สมควรและเหมาะสมแล้ว
เพราะมันทำให้รัฐบาลจีนมีสเถียรภาพ
.
สิ่งที่จีนไม่ต่างจากเราบ้านเราในตอนนี้
คือการละเลย “การศึกษาเพื่อให้เกิดความสำนึกผิด”
อันนี้พูดถึงเรื่องการศึกษาประวัติศาสตร์
ที่มักจะละทิ้งหรือปิดกั้นข้อมูลสำคัญจากผู้เรียน
เมื่อเปรียบเทียบกับที่เยอรมัน 🇩🇪
เขาเน้นเรื่องประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่น่าอัปยศของชาติ
ดังนั้น คนเยอรมันส่วนใหญ่ที่คุณพบเจอ
เขาจะไม่แสดงตัวออกว่าเป็นพวกชาตินิยมอะไรทำนองนั้น
กลับกัน เขาจะถ่อมตัวมาก ๆ (เพื่อนแอดหลายคนเป็น)
เพราะเขารู้สึกว่าการ ‘คลั่งชาติ’ มันน่าละอาย
เนื่องจากมันเคยนำไปสู่การฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปแล้ว
.
หรืออย่างที่สหรัฐฯ 🇺🇸
ในห้องเรียนประวัติศาสตร์ คุณหนีไม่พ้นเรื่อง
“สงครามกลางเมือง” หรือ “สงครามเวียดนาม” แน่ ๆ ล่ะ
ที่ต้องเรียนเพราะอะไรน่ะเหรอ?
ก็เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ
ที่เด็กควรจะเรียนรู้ว่า..
ไอ้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของคนรุ่นก่อนมันมีอะไรบ้าง
เรียนรู้ว่าบรรพบุรุษของเขาเคยเบียดเบียนหรือรุกรานใครบ้าง
แล้วผลพวงของเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันส่งผลอย่างไร
ไม่ใช่ยัดแต่ประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนให้ตัวเองดูดีใส่หัวเด็กอย่างเดียว 👎👎
การเรียนประวัติศาสตร์แบบนั้นมันจะช่วยให้เราไม่หยิ่งผยอง
และได้รู้ว่าเราควรแก้ไขสิ่งใด
เพื่อป้องกันสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นซ้ำซาก
รวมถึงสร้างปัจจุบัน & อนาคต ให้ดีกว่าเดิม ✨
.
⚜️ ก็อย่างที่แอดมักย้ำเสมอแหละว่า
“ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย
สำหรับผู้ที่ไม่เคยขวนขวายหาความจริง” ⚜️
แหล่งที่มา: https://www.facebook.com/BigUpInstitute