ภาพเด็กหัวเราะภาพนี้ คือภาพที่น่ากลัวที่สุดภาพหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
หลายคนอาจไม่รู้ว่าภาพจากเมืองไทยเคยได้รับรางวัลพูลิตเซอร์เมื่อปี 1977 ซึ่งเป็นภาพในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 1976 (2519) เป็นภาพที่ถ่ายโดยช่างภาพหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจากสำนัก AP มีชื่อว่า Neal Ulevich ใครเห็นภาพแล้วก็แทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือประเทศไทย ที่หลายคนภูมิใจนักหนาว่าเป็นเมืองพุทธ มีแต่ความสงบร่มเย็น แต่ภาพนี้ถูกรัฐบาลไทยสมัยนั้นห้ามตีพิมพ์ ใครอยากดูภาพนี้ให้ชัดๆ ก็ต้องหาซื้อหนังสือ Moments: The Pulitzer Prize Winning Photographs มาอ่านเอาเอง
นาย Neal Ulevich
ซึ่งภาพนี้ดูผิวเผินไม่ได้มีอะไรผิดแปลก เป็นเพียงภาพคนที่คนกำลังดูอะไรบางอย่าง บางคนก็ดูเฉยๆ บางคนมีรอยยิ้ม บางคนหัวเราะ ซึ่งเด็กคนหนึ่งในภาพก็กำลังหัวเราะอย่างเห็นได้ชัดด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อเรามาดูภาพเต็มๆ สิ่งที่ทุกคนกำลังมองดูนั้น กลับไม่ใช่การแสดงมหรสพหรือการแสดงรื่นเริงใดๆ เลย กลับเป็นการมองดูศพของชายคนหนึ่งซึ่งถูกแขวนคออยู่กับต้นไม้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีชายอีกคนหนึ่งกำลังนำเอาเก้าอี้ทำท่าจะฟาดตีศพนั้นอีกด้วย
มาถึงตรงนี้ ภาพที่เด็กน้อยยืนหัวเราะที่มีคนถูกฆ่าอย่างทารุณ จึงเป็นภาพที่น่าสลดหดหู่ และน่ากลัวอย่างยิ่ง
บุคคลที่ถูกเขวนคอคือนักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่ถูกกลุ่มกระทิงแดง (อาชีวะ) ฆ่าตายในสนามฟุตบอล จากนั้นก็เอาเชือกผูกคอ แล้วลากศพวิ่งไปตามสนามหญ้ารอบท้องสนามหลวงกันอย่างสนุกสนาน ลากกันจนสะใจแล้วก็นำมาแขวนไว้ที่ต้นมะขาม ให้คนไทยที่คับแค้นใจรุมแตะ ถีบ และรุมยำตามที่เห็นในภาพ จากนั้นก็นำไปเผานั่งยางกลางท้องสนามหลวง
จุดที่แขวนคอนี้น่าจะอยู่ตรงบริเวณหัวโค้งไปทางสะพานพระปิ่นเกล้า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการนำภาพมาออกอากาศ ทางช่อง 9 (อสมท.) ในช่วงบ่ายของวันนั้นโดยไม่มีการเซ็นเซอร์ ผู้ทำหน้าที่บรรยายคือนายราชันย์ ฮูเซ็น ซึ่งขณะนั้นมีนายสรรพสิริ วิริยะสิริ เป็นกรรมการ อสมท. แต่พอวันรุ่งขึ้นทั้งสองคนก็ถูกคณะปฏิรูปฯ สั่งปลดออกจาก อสมท. และทั้งคู่ต้องหลบหนีการไล่ล่าจากฝ่ายรัฐบาล (ปฏิวัติ)
ถามว่ามีช่างภาพไทยถ่ายภาพนี้หรือไม่ ตอบว่ามี แต่ก็ถูกคณะปฏิรูปตามไปยึดฟิล์มยึดภาพถึงโรงพิมพ์
หมายเหตุ
เหตุการณ์ในปี 1976 (2519) เป็นการต่อสู้ทางความคิด ที่คนไทยแบ่งออกเป็นสองขั้ว แบบนิยมคอมมิวนิสต์ และแบบโลกเสรี ขณะนั้นสังคมมองว่าพวกนักศึกษาที่ในธรรมศาสตร์ถูกคอมมิวนิสต์ล้างสมอง และเป็นพวกแดงจัด พวกฝ่ายขวาจึงมองว่าคนพวกนี้จะนำภัยมาสู่ประเทศ และต่อไปประเทศก็อาจเปลี่ยนการปกครองมาเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ ขณะนั้นสหรัฐอเมริกากำลังต่อสู้กับเวียดนามเหนือที่เป็นกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์อยู่เช่นกัน
ขณะเดียวกันรอบบ้านเราขณะนั้นก็ตกเป็นประเทศคอมมิวนิสต์กันหมดแล้ว ความกลัวในลัทธินี้จึงมีมากในกลุ่มคนไทยที่นิยมฝ่ายขวา กลัวว่าพุทธศาสนาจะถูกทำลาย สถาบันกษัตริย์จะถูกโค่น คนรวยถูกยึดทรัพย์ ประชาชนจะถูกเกณฑ์ให้ไปทำนา มีการแบ่งปันอาหาร ระบอบการปกครองจะไม่มีการแบ่งชนชั้น ทุกคนต้องเสมอภาค ไม่มีการกดขี่ ฯลฯ ฟังดูแล้วสวยหรู และหมาะสำหรับประเทศด้อยพัฒนาเช่นไทย
แต่ที่สุดระบอบนี้ก็ไปไม่รอด เกิดความอดอยากล้มตายกันหลายสิบล้านคนในประเทศจีน เนื่องจากนำเงินมาทุ่มสร้างอาวุธ จนประเทศยากจน เมื่อประเทศผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์ ได้แก่ รัสเซีย และจีน ล่มสลาย ประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ก็ล่มสลายตามเช่นกัน
กระทั่งคนไทยที่ฝักไฝ่ลัทธินี้และหลบซ่อนอยู่ตามป่าหมดผู้สนับสนุน ก็ต้องออกมามอบตัวตามนโบยาย 66/23 และ 66/24 ในยุคที่พลเอกเปรมฯเป็นนายกรัฐมนตรี และมีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นเสนาธิการทหาร ทั้งสองคนนี้ถือมีส่วนสำคัญที่ทำให้ชาติไทยยุติการสู้รบตามแนวชายแดน
ข้อควรคิด
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว จนเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของระบอบการปกครองไทย คนในยุคปัจจุบันจึงไม่ควรด่วนตัดสินใจว่า อะไรผิด อะไรถูก และไม่ควรคิดว่าใครผิดใครถูก เนื่องจากสภาพการณ์ของบ้านเมืองในสมัยนั้น แตกต่างกับยุคปัจจุบันค่อนข้างมาก ที่ถูกนั้นควรถือว่าเป็นเสี่ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ด้านการเมืองที่ควรรับรู้ไว้เท่านั้นเอง