ปล่อยให้ความอิจฉามันครอบงำ แล้วจงเรียนรู้จากมัน 'โรนัลด์ วีสลีย์'
“เธอเป็นเป้าความสนใจมาตลอด เธอก็รู้ ฉันรู้ด้วยว่าไม่ใช่ความผิดเธอ ฉันรู้ว่าเธอไม่ต้องการ แต่ – รอนน่ะมีพี่ชายไม่รู้กี่คนที่ต้องแข่งขันด้วยที่บ้าน และเธอเป็นเพื่อนรักที่สุดของเขา แล้วเธอก็มีชื่อเสียง – มีแต่คนเห็นเธอ แต่ไม่มีใครเห็นเขา แล้วเขาก็ทนได้ เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้ แต่ฉันคิดว่าครั้งนี้เป็นฟางเส้นสุดท้าย..”
เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ : บทที่ 18 การตรวจไม้กายสิทธิ์
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ถ้วยอัคนี
ในครั้งแรกที่อ่าน เราอาจตั้งคำถามและไม่เข้าใจว่าทำไมรอนถึงคิดกับแฮร์รี่แบบนั้น และอาจพาลให้คิดไปไกลถึงขนาดที่ว่ารอนมาเป็นเพื่อนกับแฮร์รี่เพราะอยากมีเพื่อนเป็นคนดังรึเปล่า ?
จริงๆ ประเด็นนี้.. มันมีเรื่องความต่างของวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คนไทยเราส่วนใหญ่ถูกสอนให้ประนีประนอมกับคนรอบข้าง อยู่อย่างเงียบๆ และยอมๆ กันไป เพื่อสังคมจะได้ไม่วุ่นวาย แน่นอน.. โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว รวมถึงเพื่อนสนิทของเราด้วย เราจึงอาจสงสัยว่า ความอิจฉาที่รอนมีต่อแฮร์รี่นั้น เป็นสิ่งที่เราควรทำกับเพื่อนสนิทเหรอ
ในหลายๆ ประเทศ ที่ระบบทุนนิยมเป็นตัวขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจ (ยุโรป อเมริกา หรือในเอเชียก็มี อย่างสิงค์โปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น) ประชาชนถูกปลูกฝังให้สร้างแรงผลักดันกับตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้พวกเขาไปสู่เป้าหมายต่างๆ ในชีวิต แน่นอนว่าการแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ในกลุ่มพี่น้องหรือเพื่อนที่สนิทกันมากแค่ไหนก็ตาม
รอนมีแฮร์รี่เป็นเพื่อนสนิท แต่ขณะเดียวกันแฮร์รี่ก็เป็นคนดัง สปอตไลท์ส่องไปที่เขาแทบจะตลอดเวลาจนรอนไม่มีพื้นที่ได้เฉิดฉาย การที่ชื่อของแฮร์รี่ลอยออกมาจากถ้วยอัคนี ทำให้ความอัดอั้นในใจรอนถึงคราวระเบิด และกลายเป็นความอิจฉา เขาจึงพาลคิดไปเองว่าแฮร์รี่แอบทำลับหลังเขา เพราะไม่อยากให้เขาเข้าร่วมการแข่งด้วย และเพื่อที่ตัวเองจะได้ซีนในฐานะเด็กชายผู้รอดชีวิตและตัวแทนของฮอกวอตส์
คุณอาจจะรู้สึกแย่กับรอนในช่วงเวลานั้น เพราะในหนังสือเราเห็นแต่จากมุมมองแฮร์รี่ ที่เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากจากกระแสต่อต้านรอบตัวเป็นครั้งแรก ความดังที่ติดตัวเขามา ตอนนี้กลับเป็นผลร้ายย้อนกลับมาเล่นงานโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว เขาต้องเผชิญหน้ากับพวกฮัฟเฟิลพัฟที่ต่างก็รุมบอยคอตเขา เพราะคิดว่าแฮร์รี่กำลังจะแย่งซีนจากเซดริก หรือ แม้แต่พวกสลิธีรินที่นำโดยเดรโก ทำเข็มกลัดพอตเตอร์ห่วยเที่ยวแจกทุกคนในฮอกวอตส์ แถมในห้วงเวลาแบบนี้รอนก็ยังไม่ยอมพูดกับเขาอีก
แม้จะมีเฮอร์ไมโอนี่อยู่เคียงข้าง แต่ผมมองว่า ความสัมพันธ์ของแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่นั้นมันเป็นฟีลแบบพี่สาวกับน้องชายมากกว่า (ผมไม่ได้หมายความว่าแฮร์รี่ไม่สนิทกับเฮอร์ฯ แต่ในมุมมองของผม บางครั้งผู้ชายกับผู้ชายมันจะเข้าใจกันมากกว่า เราจะเห็นอยู่หลายครั้งเวลา Trio อยู่ด้วยกัน เฮอร์ไมโอนี่จะออกแนวเหมือนคุณแม่หรือพี่สาวประจำกลุ่ม)
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของแฮร์รี่ รอนเองก็กำลังต่อสู้กับความคิดและอารมณ์ตัวเอง ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ตัวเขาก่อขึ้นเหมือนกัน ความอิจฉาที่พุ่งพล่านในวินาทีที่เขาเห็นชื่อของแฮร์รี่ถูกพ่นออกมาจากถ้วยอัคนี เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งมันจะค่อยๆ เริ่มตกผลึก
ในแง่มุมหนึ่ง ความอิจฉาที่เกิดขึ้นนั้น มันคือโอกาสให้รอนได้ปลดปล่อยด้านมืดในใจออกมาบ้าง แน่นอนว่ามันทำให้เกิดสถานการณ์ชวนอึดอัด แต่ถ้ารอนยังเก็บมันไว้ต่อไป สักวันหนึ่งข้างหน้ามันก็ต้องระเบิดออกมาอยู่ดี ซึ่งมันอาจเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่สร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล และเมื่อรอนได้ลองปล่อยให้ความอิจฉานี้ครอบงำจิตใจ เขาจึงเริ่มเรียนรู้ทีละนิดว่ามันส่งผลเสียอย่างไรบ้าง
จริงๆ รอนคงอยากขอโทษและกลับไปคืนดีกับแฮร์รี่ตั้งแต่ก่อนเริ่มภารกิจแรกด้วยซ้ำ (เขาน่าจะแอบเฝ้าดูแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ฝึกซ้อมคาถาเรียกของกันอย่างเอาเป็นเอาตายในคืนก่อนเริ่มภารกิจแรก - อันนี้ผมจินตนาการเองนะ) แต่อย่างที่รู้กันว่าความอิจฉากำลังครอบงำจิตใจเขาอยู่ มันจึงเป็นสถานการณ์ที่เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จนเมื่อเขาได้ชมภารกิจแรก และเห็นว่าสิ่งที่ตัวแทนทุกคนต้องทำนั้นมันเสี่ยงตายแค่ไหน รอนจึงลบความอิจฉาในใจของเขาออกไปได้ในที่สุด และพยายามจะเข้าไปขอโทษแฮร์รี่ แต่แค่รอนปริปากพูดกับเขาเพียงไม่กี่คำ แฮร์รี่ก็รู้ในทันทีว่ารอนหมายถึงอะไร เขาจึงรีบตัดบทว่า “ลืมมันไปเถอะ” โดยไม่ต้องให้รอนเอ่ยคำว่าขอโทษออกมาด้วยซ้ำ
หลายครั้งที่มิตรภาพอาจจะต้องผ่านการแตกหรือหักลงมาก่อน จากนั้นค่อยซ่อมแซมและประสานขึ้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งอาจจะทำให้แน่นแฟ้นขึ้นกว่าเดิม (แต่แน่นอน.. ต่างฝ่ายก็ต้องเรียนรู้กันด้วย ไม่ใช่แค่เอ่ยคำว่าขอโทษไปให้พอจบ) หรืออาจจะเปราะบางมากกว่าเดิม นั่นก็เป็นเรื่องของปัจเจกคน แต่ในกรณีของรอนกับแฮร์รี่ เราคงเห็นได้ว่ามันจะเป็นแบบไหน
อีกอย่างหนึ่งเราได้เรียนรู้จากรอน นอกจากจะอนุญาตให้ตัวเองได้เศร้าหรือเสียใจแล้ว ความรู้สึกด้านลบอย่างความโกรธหรืออิจฉา เป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เราควรเรียนรู้อารมณ์ด้านนี้ของตัวเองด้วยเหมือนกัน เพื่อที่จะได้หาวิธีในการรับมือ ดีกว่าจะเก็บไว้ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าอย่าสร้างความขัดแย้งหรืออย่าทำให้คนรอบตัวต้องอึดอัด ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ ทุกห้วงอารมณ์ในตัวเราควรจะทำความรู้จักกับมันไว้ให้ดี อาจจะเพื่อควบคุม ไม่ให้มันสร้างผลเสียซึ่งอาจจะส่งผลได้มหาศาลมากกว่าที่เราคาดคิด
อ้างอิงจาก: พอตเตอร์ไดอารี่