ต้มยำกุ้ง(ฝอย)ตายไปหนึ่ง
แรงที่ผลักให้ฉันทำดีและเลวในชีวิต
ปี 2539 พ่อของผมต้องออกจากบ้านนา เดินทางเข้ามาเป็นกรรมกรก่อสร้าง พ่อผมไม่มีพื้นฐานงานทางการก่อสร้าง ก่อนนี้พ่อของผมเป็นเกษตรกร เลี้ยงวัวควาย ทำงานฝีมือจักรสาน ลักลอบตัดไม้ ต้มเหล้าเถื่อน พ่ออ่านเขียนไม่ได้เพราะไม่ได้เล่าเรียน
ก่อนพ่อกับแม่จะมาแต่งงานกันพ่อกับแม่มีลูกติดฝ่ายละคน ฝ่ายพ่อภรรยาเอาไปเลี้ยง ฝ่ายแม่ติดมาด้วย แม่ผมเป็นสาวรุ่นได้ผูกข้อไม้ข้อมือกับตำรวจที่มาประจำการที่อำเภอ แม่บอกว่าอยู่กินกันได้ปีกว่าแล้วแม่ตั้งท้อง 6 เดือน มารู้ตัวว่าตัวเองเป็นเมียน้อย เลยหนีกลับบ้าน พ่อผมเลยตามจีบ แล้วเข้าทางผู้ใหญ่ จนทางผู้ใหญ่บอกว่าแต่งกันเถอะเด็กจะได้มีพ่อ พ่อกับแม่ก็เลยได้กัน แม่บอกว่าผูกข้อไม้ข้อมือกันตอนพี่ชายผมได้ 3 เดือน
ก่อนพ่อแม่ได้กัน พ่อมีบ้านไม้สัก 1 หลัง ที่ดิน 5 แปลง พ่อถางเองหมดเลย สมัยก่อนอยากได้ก็ถางกันเลย จนช่วงมีพี่ชายคนที่สองเจ้าหน้าที่เข้มงวดการถางป่า แล้วก็มีบ้านอีกหลังที่พ่อกับอาช่วยกันปลูกให้ปู่กับย่า ปู่ดื่มหนักย่าเลยหนีไปอยู่กับป้า แม่บอกว่าชีวิตตอนนั้นก็ปกติดีมีกินไม่อดอยาก ทำเกษตร เลี้ยงวัว ควาย เลื่อยไม้ ต้มเหล้า สานหวด พ่อเป็นคนขยันมาก ขยันขนาดไหนเหรอ พ่อผมไม่ต้องตัดเล็บ มันทู่ไปหมด แม่บอกว่ามีทองมีเงินเก็บกันพอสมควร
อยู่กันมาสองปีแม่ก็มีพี่ชายคนที่สอง นี่คือจุดเปลี่ยนของครอบครัวผมเลย พี่ชายผมเป็นโรคเลือด ต้องเติมเลือด ต้องใช้เงิน พ่อกับแม่ขายทุกอย่าง แถมปลูกบ้านอีกสองหลัง ก็ยังต้องขายหมด จนต้องไปอยู่กับปู่ แม่บอกช่วงนั้นลำบากมากเป็นเวลา 7 ปี แล้วแม่ก็มีผมอีกคน(พ่อกับแม่อยากมีลูกสาว อันนี้ตลกแม่จับผมแต่งหญิงไว้จะมาเล่าทีหลัง)ผมคลอดเดือนมกราคม 25xx แม่บอกว่าพีชายคนที่สองรักผมมาก ไม่ไปไหนเฝ้าผมอยู่บ้านตลอดไม่ไปเล่นกับเพื่อน แต่พี่ชายคนที่สองก็มาจากไปตอนปลายเดือนมีนาคม แม่เล่าว่าก่อนเสียพี่ชายซึมซึมอาการไม่ดีแล้วก็จากไป(เกิดมาพี่ก็ตายไอ้น้องเวร) พ่อแม่ผมก็เลี้ยงผมที่บ้านปู่ ปู่ติดเหล้าหนัก แล้วพ่อแม่ผมขายเหล้า พอไม่ให้ก็บอกสรรพสามิตที่จับเหล้าเถื่อนว่าพ่อแม่ผมซ่อนไว้แถวไหน555 จนผม 4 ขวบ หรือ 5 ขวบ นี่แหล่ะพ่อกับแม่ไม่ไหวต้องย้ายออกมาอยู่กันเองเป็นบ้านร้าง ไปขอเช่าเขาอยู่ แม่บอกว่าเขาใจดีให้อยู่ฟรี ตอนนั้นจำได้ผมอยู่อนุบาล สมัยนั้นเรียกชั้นเด็กเล็ก (เรียนเด็กเล็กนานกว่าคนอื่นไปบ้างไม่ไปบ้างร้องไห้ไม่ยอมไป555 แถมเรียน ป.1 ได้ไม่กี่วันครูให้มาเรียนเด็กเล็กอีกปี555 ตอนนั้นโรงเรียนเรียน 3 เทอมนะ) แม่ป่วยหนักเหมือนโดนผีเล่นงาน ผมเลยอยู่กับพ่อและพี่ชาย แม่ไปอยู่บ้านตายาย แม่เล่าว่าเหมือนมีหญิงแกนั่งเฝ้าผมตอนผมนอนอยู่5555 (คิดไปเองเปล่าแม่555)หลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ก็ปลูกกระต๊อบหลังน้อยอยู่กัน 4 คน พ่อแม่ลูก
อยู่มาได้ ป.2 พ่อแม่เก็บไม้ได้เยอะ พ่อขายวัวควายหมดเลยเอาเงินมาปลูกบ้าน บ้านผมมีโทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องเสียง หลังแรกแรกของหมู่บ้านเลย แล้วเราก็ดำเนินชีวิตกันไป ตอนนี้พ่อกับแม่มีที่ดิน 2 แปลง แต่ตอนนั้นยังเป็นยุคสมัยที่การเกษตรไม่ได้ผลดี แถมยังทำได้ปีละครั้ง แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้เดือดร้อนไร แต่พอพี่ชายผมเรียนชั้น ม.2 พ่อก็เลิกต้มเหล้า เพราะเราต้องแอบไปต้มเหล้าช่วงค่ำมืด และต้องไปต้มในป่า วันนั้นพ่อก็ไปต้มเหล้ากับพี่ชายที่ในป่า เสร็จตอนกลับบ้านพ่อเดินนำพี่ชาย ตอนเดินตัวพ่อไปเกี่ยวกิ่งไผ่ แล้วมันดีดมาฟาดตรงเบ้าตาพี่ชาย พ่อเสียใจมากเทเหล้าทิ้งหมดเลย แล้วเลิกต้มเหล้า นั่นทำให้รายได้ของครอบครัวผมหายไปอีกหนึ่ง เหลือรายได้หลักคือเลื่อยไม้
พี่ชายผมเรียนจบ ม.6 ซึ่งแถวบ้านผม ม.3 นี่ก็หายากแล้ว พี่บอกอยากเรียนต่อซึ่งคนในหมู่บ้านที่ได้เรียนมีน้อยมากต้องเป็นคนที่มีเงินจริง ๆ พ่อบอกว่าเรียนก็เรียน แต่ตอนนั้นต้องสอบเข้า พี่ผมดันทะลึ่งสอบติด สมัยนั้นเรียก วค. พอพี่ผมจะเรียนต่อพ่อผมเลิกเลื่อยไม้เลย ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมถึงเลิกเลื่อยไม้ แต่คงไม่อยากทำผิดกฎหมายเพราะลูกจะไปเรียนอะไรแบบนั้นหรือเปล่าไม่ทราบ แล้วพ่อผมก็หนีตามน้องเมียไป
ก่อนพ่อหนีตามน้องเมีย พ่อก็ขายที่เอาเงินไปจ่ายค่าเทอมให้พี่ชาย แล้วมาเป็นกรรมกรก่อสร้างในเมืองกรุง ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ดีที่น้าผมพอมีฝีมือเลยถูไถกันไป ระหว่างนี้ก็ขายหมดเลยที่ดิน จนพี่ชายผมเรียนผ่านเทอมแรกของปีสาม พ่อผมไม่มีเงินส่งมาที่บ้าน ช่วงนั้น 2541 ต้มยำกุ้ง ทำงานไม่ได้เงินผู้รับเหมาหนี ปัญหาต่างถาโถมเข้ามาในครอบครัวผม เป็นเพราะรัฐบาลหัว...โง่บัดซบ ขอหยาบหน่อยกับพวกสัตว์นรกพวกนี้ แถมน้าผมเป็นหนุ่มโสดใช้เงินเกินรายได้ยืมเงินพ่อผมอีก ไม่มีใช้ตอนนั้นลำบากทั้งคู่ พ่อผมเลยกลับบ้าน
วันที่พ่อผมกลับถึงบ้านเป็นวันเสาร์เช้า พ่อเหลือเงินกลับบ้าน 1,487 บาท ผมจำไม่เคยลืม แต่วันนั้นผมป่วยไม่สบาย(ถึงตอนนี้น้ำตาไหลมาก คิดถึงเรื่องนี้ร้องไหทุกครั้ง เช็ดน้ำตาก่อน)ผมตอนอยู่บ้านตาเห็นแต่หลังพ่อเดินเข้าซอยไปบ้าน ผมลุกไม่ไหว ทำไมต้องป่วยขนาดนั้น ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะป่วย ออกไปทางแข็งแรง เพราะผ่านช่วงที่อ่อนแอมาแล้ว(ผมเลือดจาง) บ่ายสามเดือดร้อน ๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยงที่กลางใจผม ผมหายป่วยเลยตอนนั้น(พักเข้าห้องน้ำก่อนร้องไห้หนักตอนนี้ เดี๋ยวยายข้างบ้านตกใจ) มีคนในซอยวิ่งแล้วตะโกนว่าพ่อผมผูกคอตาย ผมรีบวิ่งไปที่บ้าน คิดในใจพ่ออย่าตายนะ ผมไปถึงญาติเอาพ่อผมลงมาแล้วกำลังปั๊มหัวใจ แต่ก็ไม่สามารถช่วยพ่อผมไว้ได้ พ่อผมตายแล้ว ผมร้องไห้หนักที่สุดเท่าที่ผมเคยร้องไห้มาเลย
พ่อไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้พี่ชายผมแน่เลย ผมคิดเองนะ เพราะพ่อตายจะได้เงินทำศพจาก ธกส. แสนกว่าบาท พ่อคงคิดว่ามันคงเพียงพอที่จะให้พี่ชายผมเรียนจบ พ่อไม่เขียนจดหมาย ไม่กล่าวลาเพราะพ่อเขียนหนังสือไม่ได้ นั่นมันโหดร้ายกับผมเป็นที่สุด ด้วยผมเสียใจผมเลยใช้ความโง่บัดซบของตัวเอง พาตัวเองเดินทางเข้าไปในทางเสื่อม
พอจัดงานศพได้เงินจากทุกทาง แล้วใช้จ่ายในงานศพไป เหลือเงิน เก้าหมื่นกว่าบาท มันพอแน่ ๆ ในการส่งเสียพี่ชายผมให้เรียนจบ แต่ก็ต้องมีเรื่องมีปัญหาเข้ามาอีก น้าผมสองคนป่วยด้วยโรคร้ายไม่มีใครช่วยดูแล ตกเป็นภาระของครอบครัวผมโดยตรง แม่ผมแทบไม่ได้นอนบ้าน น้าสองคนสลับเข้าโรงพยาบาล แล้วก็มารักษาตัวที่บ้านผม แล้วทั้งสองก็ลาโลกไป คนพี่จากไปก่อนอีกสองวันคนน้องจากไปอีกต้องเผาพร้อมกันสองศพ สรุปแล้วเงินค่าชีวิตพ่อผมตอนนี้เหลือ สองหมื่นกว่าบาท ญาติพี่น้องไม่มีใครช่วยแม่ผมเลย เข้าใจนะว่าทุกคนจน แต่แม่ผมรับปัญหามากที่สุด พี่ผมก็ยังเรียนไม่จบ เงินก็หมด ทรัพย์สมบัติไม่เหลือ เหลือแต่บ้านไม้พร้อมที่ดิน 95 ตารางวา แม่บอกไม่ขายเป็นสมบัติที่พ่อกับแม่ผ่านความลำบากกันมา ช่วงนั้นมีคนมาติดแม่ผมแบบพ่อม่าย เข้ามาคุยกับแม่ผมไม่ถึงเดือนแม่ผมบอกว่าผมว่าจะแต่งงาน ให้เหตุผลกับผมว่าแม่หมดปัญญาจะส่งเสียพี่ชายผม ผมบอกแม่แล้วแต่แม่เลย ผมนี่จิตใจบอบช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
แม่กำลังจะมีจะแต่งงานเลยปรึกษาพี่ชาย พี่ชายบอกไม่ให้แต่ จะหยุดเรียน ไม่เรียนแล้ว แล้วก็เป็นเรื่องทะเลาะกัน แต่สุดท้ายก็แพ้แม่ เพราะมันจะจบแล้วอีกปีเดียวเอง ญาติก็มาช่วยพูดคุยกับพี่ชาย แล้วแม่ก็แต่งงานใหม่ เขามีที่ไร่ที่นาหน่อยหนึ่งมีรายได้พอที่จะเลี้ยงแม่ผมได้ แต่ถ้าจะถามว่าทำไมแม่ไม่มาหางานทำในเมืองในกรุง ผมไม่รู้หรอกเรื่องนี้ ทุกคนย่อมมีเหตุและผลของตัวเอง
ในส่วนตัวผม ผมไม่โทษพ่อกับแม่ เพราะเขาทำดีที่สุดแล้ว แต่เราเกิดในสังคมที่มีปัญหา การแก้ปัญหาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนเลือกที่สร้างความเดือดร้อน บางคนเลือกที่จะอยู่ในกฎและข้อตกลง แต่ผมว่าทุกคนก็มีความต้องการเหมือนกันคือการมีชีวิต จะเพื่ออะไรนั้นขึ้นอยู่กับจิตใจ ความจำเป็น และความต้องการของแต่ละคน สำหรับผมชีวิตผมอยู่เพื่อแม่ ถ้ามีใครรับหน้าที่นี้ผมอาจไปก่อนแม่
ผมผ่านอะไรมาพอสมควร ผมคิดถึงพ่อมาก ผมไม่ได้พูดคุยกับพ่อ พ่อก็ตายไปแล้ว 21 ปีแล้วที่พ่อจากผมไป ตอนนั้นพ่อคงเหนื่อยที่สุดแล้ว แต่ผมยังตายไม่ได้หรอกตอนนี้ ผมยังต้องดูแลแม่ แม่ผมกับสามีใหม่ ก็พอที่จะเลี้ยงปากท้องกันได้ตอนนี้ เบี้ยคนจน เบี้ยคนชราของแม่ เงินที่ยังพอมีแรงหากันได้ และเงินจากผม รอวันที่พี่ชายผมพร้อมกว่านี้ พร้อมที่จะดูแลแม่แทนผม วันนั้นของผมอาจมาไวกว่าที่คิด ผมอยากให้มันมาถึงไวไว ผมจะได้ไปอยู่กับพ่อ ไม่รู้ว่ามันมีจริงไหม แต่รู้ว่าไม่อยากเหนื่อย
เมื่อสมองของผมทำงานเต็มกำลังแล้วแต่ผลที่ออกมามันไม่ได้คุณภาพพอที่จะใช้ประโยชน์ได้ มันไม่มีค่าพอสำหรับใคร ผมก็เปลี่ยนไปใช้แรงแทน แรงที่ผมใช้ผมใช้มันเต็มกำลัง ซึ่งมันพอที่จะเลี้ยงชีวิต 1 ชีวิต แต่เมื่อผมต้องเลี้ยงมากกว่าหนึ่งชีวิต แรงที่ใช้ไปมันไม่พอ ผมจึงต้องเพิ่มแรงเข้าไปอีก แต่เราก็ทราบดีว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตเรามีขีดจำกัดทางกายภาพ ผมไม่สามารถไปแข่งขันกับคนอื่นได้ ผมไม่เรียกร้องให้ใครมาช่วยผม มันคงยากที่จะยกทฤษฎีเกมของจอห์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์ มาใช้กับสังคมของการทำธุรกิจที่มุ่งหาความร่ำรวย ที่ทุกคนชนะเกมหมดทุกคน คนเราทุกคนย่อมมีความพ่ายแพ้ แต่อยู่ที่ว่าจะรับมือกับความพ่ายแพ้ได้มากแค่ไหน แล้วหาวิธีเอาชนะความพ่ายแพ้นั้น
ไปไปมาเล่าเรื่องงง ไม่เข้าใจ555 ช่างมันเถอะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ไม่เหมือนฝึกยุทธในหนังจีน ที่จะมีธาตุไฟเข้าแทรกแล้วเป็นบ้าหรือตายห่า555 ก็ต้องขออภัยท่านผู้อ่านในท้ายนี้ด้วยนะครับ ผมพึ่งหัดเขียน เล่าจากชีวิตตัวเองอาจจะน่าเบื่อ