เปิดงบฯ กระทรวงกลาโหมอาเซียน 10 อันดับ ไทยติด 1 ใน 3 !
เพจ “ไทยอาร์มฟอร์ส” อธิบายข้อเท็จจริงและเหตุผลการจัดสรรงบประมาณในการซื้ออาวุธของกองทัพ ที่กำลังกลายเป็นประเด็นถกเถียงกัน พร้อมระบุว่า ห้ามนำข้อมูลนี้ไปใช้ทางการเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอันขาด สาระสำคัญคือ
ประเทศไทยใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศคิดเป็น 1.4% ของ GDP หรือ 6% ของงบประมาณประจำปี ซึ่งคือการใช้จ่ายงบประมาณราว 2 แสนล้านบาทต่อปี กว่าครึ่งเป็นการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ และเงินเดือนของกำลังพล งบประมาณเพื่อการซ่อมบำรุงและปฏิบัติภารกิจ รวมถึงจัดหาอาวุธจำนวนหนึ่ง และงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา เพียงไม่กี่พันล้านบาทเท่านั้น และแทบไม่มีการจัดหายุทโธปกรณ์จากในประเทศเลย เนื่องจากไม่มีระเบียบที่จะส่งเสริมและบังคับให้กองทัพต้องพิจารณาอาวุธที่ผลิตในประเทศก่อน หรือยอมลดมาตรฐานความต้องการของตนลงมาในระดับหนึ่งเพื่อให้อาวุธไทยแท้ๆ สามารถเข้าไปประจำการจริงได้ในกองทัพ
ข้อมูลข้างต้นเป็นการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศในภาพรวม โดยไม่ได้แบ่งแยกว่าในการใช้จ่ายนั้นเป็นงบประมาณด้านสวัสดิการและเงินเดือนของกำลังพลเท่าไหร่ ด้านการลงทุนจัดหายุทโธปกรณ์เท่าไหร่ และที่สำคัญก็คือด้านการวิจัยและพัฒนาเท่าไหร่ แต่โดยภาพรวมแล้วประเทศที่ลงทุนด้านการวิจัยและการส่งเสริมอุตสาหกรรมทางทหารในประเทศมากที่สุดแบบค่อนข้างทิ้งห่างจากประเทศอื่นก็คือสิงคโปร์และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะการเน้นการวิจัยและส่งเสริมให้เอกชนพัฒนาอาวุธและการันตีว่ากองทัพจะต้องจัดซื้อเพื่อเข้าประจำการจริงในกองทัพ ซึ่งจะทำให้งบประมาณเพื่อการป้องกันประเทศที่ปกติแล้วจะเป็นงบประมาณที่ต้องจ่ายไปโดยได้ผลลัพธ์กลับมาไม่มากนักและต้องถูกตัดเป็นลำดับแรกถ้าประเทศเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ได้กลายเป็นงบประมาณเพื่อสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในสัดส่วนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในการที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศผ่านการลดการนำเข้าและการส่งออกยุทโธปกรณ์ต่อไป
อาจสรุปได้ว่า ถ้าเราไม่รู้ว่าลงทุนทางทหาร หรือเกณฑ์ทหารไปทำไม หรือตัดงบประมาณทางทหารไปเฉยๆ โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะกระทบกับประเทศในภาพรวมมากเท่าไร อย่าเพียงแค่ฟังเพลงหนักแผ่นดิน การไปดูตัวอย่างของสิงคโปร์และอินโดนีเซียน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของไทยที่จะทำตาม
แหล่งที่มา: http://isarapost.com