อดีตพระเอกดัง "บดินทร์ ดุ๊ก" ยอมเปิดหน้ากากให้ดู หลังเก็บซ่อนใบหน้า เพราะป่วยอัมพาต (ชมภาพ)
พระเอกดัง บดินดร์ ดุ๊ก ยอมเปิดใบหน้าให้ชม หลังป่วยด้วยโรคที่เรียกว่า Bell Palsy’s ที่สันนิษฐานว่า เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าไม่สามารถทำงานได้ชั่วคราว จะทำให้มุมปากตก หลับตาข้างเดียวไม่ได้ เวลากินน้ำจะมีน้ำไหลออกมาทางปาก ไม่สามารถยักคิ้วได้ และจะยิ่งเห็นชัดเวลาพูด ยิ้ม หรือกะพริบตา ล่าสุด เจ้าตัวมาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง one31 ถึงอาการดังกล่าวว่า
ตอนนี้ทำไมต้องใส่หน้ากาก?
ป่วยครับ เขาเรียกว่าเป็นอัมพาตครึ่งหน้า แต่ข่าวไปลงว่าจะเป็นอัมพาตครึ่งตัว เพราะว่าลงไม่ละเอียด หลายคนก็โทรกันเข้ามาใหญ่เลยว่าเป็นอะไร นอนโรงพยาบาลไหนอะไรแบบนี้ จริงๆ เป็นแค่ครึ่งหน้าครับ
ตอนป่วยได้มีไปเยี่ยมกันบ้างไหม?
ตอนป่วยก่อนที่เขาจะเสียเนี่ย เราไปเชียงใหม่เราก็จะโทรหากัน ก็ถามอาการกันอยู่ตลอด ยังเตือนเรื่องการดูแลสุขภาพ พักผ่อนให้พอ อะไรแบบนี้กันอยู่เลยแต่ก็ไม่ได้ถึงกับบ่อย คือคนในวงการสมัยก่อนจะอยู่กันแบบครอบครัว เพราะฉะนั้นมันก็จะมีความสนิทสนมกันครับ ถึงไม่เจอกัน 5 ปี 10 ปีแต่ความรู้สึกดีๆ ความเป็นพี่เป็นน้องมันก็ยังมีครับ ไม่ใช่แค่โอนะครับ แต่มันกับทุกๆ คน
ครั้งแรกที่เห็นหน้าตัวเองในกระจกเป็นไง?
มันก็ตกแล้วไง หน้ามันจะนิ่ง คือกล้ามเนื้อหน้าที่โดนเอฟเฟคมันจะไม่ทำงาน แต่ด้านที่มันปกติเราจะพูด จะยิ้มอะไรมันก็สามารถทำได้ปกติ มันเกิดขึ้นเร็วมากสาเหตุมาจากเส้นประสาทคู่ที่ 7 อักเสบ มันสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยมาก อาจจะเกิดจากติดเชื้อไวรัส ซึ่งเปอร์เซ็นน้อยมาก เกิดจากการอักเสบโดยส่วนตัวของอวัยวะเอง หรืออุบัติเหตุอะไรแบบนี้ จริงๆ มันมีเยอะมาก ต้องบอกก่อนว่าเคยเป็นมา 2 ครั้งแล้ว แต่ครั้งแรกเป็นแล้วจะหาย ครั้งนี้ถามว่าตกใจมากไหม ก็ไม่ตกใจเท่าไหร่ แล้วก็คิดว่าเป็นอีกแล้ว แต่เป็นอีกข้างนึง เราเลยก็รู้แล้วว่าเป็นอะไร
ครั้งที่แล้วที่เป็นนานไหมกว่าจะหาย?
ประมาณเกือบ 2 เดือน แต่ต้องทำกายภาพทุกวัน อย่างเช่นตอนนี้ต้องทำทุกวัน ครั้งนี้เป็นมาประมาณอาทิตย์นึงแล้ว ที่ตั้งใจมาออกคืออยากเป็นวิทยาทานกับคนที่เป็น ก็คือไม่ต้องตกใจ สามารถหายได้แต่ว่าคุณต้องขยัน ทานยาให้ครบโดสที่หมอสั่ง ก็พยายามทำกายภาพ วิธีทำกายภาพก็คือไปทำที่ศูนย์กายภาพบำบัดโดยการใช้ไฟฟ้าจี้ กระตุ้นกล้ามเนื้อ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ หลังจากนั้นก็ทำกายภาพตัวเองเขาก็จะมีท่าให้เราทำ ได้แต่ละท่าก็จะประมาณ 15 ครั้ง แต่คุณบอกว่าจะบอกว่าทำให้ได้มากที่สุดก็จะดีกับตัวเรา
ถ้าเกิดต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตกลัวไหม?
ยังไม่คิดถึงขั้นนั้น เพราะว่าได้ทีมคุณหมอเดิม แล้วเขาทำให้เราหายได้ในครั้งนั้น เราก็ต้องโฟกัสที่ตัวเองความขยันในการออกกำลังกายมากกว่า เหมือนคนนอนติดเตียงที่นอนไปนานๆแล้วแขนลีบขาลีบ แล้วลุกขึ้นมาทำกายภาพมันก็หายได้ แต่บางมุม เช่น มุมยิ้มมุมอะไรมันอาจจะไม่เหมือนเดิม
ตอนนี้การรักษาไปถึงขั้นไหนแล้ว?
คือตอนนี้จะแบ่งเป็น 2 ทาง คือทางเทอราปิส เวลาเขาที่เขาจะเห็นว่ามันกระตุ้นกลับมาได้ดีขึ้น แต่เมื่อวานไปหาคุณหมอ คุณหมอประเมินด้วยสายตาเปล่าบอกว่ามันยังไม่ยกขึ้น คือถ้ามันดีมันก็ยกขึ้น คุณหมอก็เลยให้ทำสเตียรอยด์ไปอีก 1 อาทิตย์ เพื่อที่จะฆ่าเชื้อให้มันแน่นอน หลังจากนั้นถ้ายังไม่หายต้องเน้นทำกายภาพต่อ
มันกระทบกับชีวิตมากไหม?
กระทบมาก ก็คืออย่างเวลาไปทำงาน ไปสอนหรืออะไรแบบนี้ มันจะพูดได้ด้านเดียว บางคำเราจะพูดไม่ได้ เสียงที่ออกมันไม่ชัด มันก็จะรำคาญนิดนึง แล้วก็เรื่องของการกิน เวลาตักอาหารเข้าปาก แล้วปากเราเปิดแค่ด้านเดียวมันก็หก เวลาดูดน้ำก็จะไหลออกทางข้างปาก ก็ต้องบีบปากอีกข้างหนึ่งไว้
การขับรถก็จะลำบากเรื่องสายตานิดนึง ก็ใช้ชีวิตลำบากนิดนึง ความรู้สึกถามว่าเศร้าไหม ก็ไม่เศร้านะมันเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่เคยกลัวตาย เพราะเรารู้ว่ายังไงมันก็ต้องตาย แต่ขอตายแบบสบายๆ ได้ไหม