ทำไมหนัง "ฟิลาเดลเฟีย" ปี 2536 ถึงมีคนชื่นชอบทั่วโลกมากกว่า 92 เปอร์เซนต์
วันที่ออกฉาย: 22 ธันวาคม 2536 (อเมริกา)
ภาพยนตร์เรื่อง Philadelphia ฟิลาเดลเฟีย ภาพยนตร์แนวชีวิตของฮอลลีวู้ดเรื่องแรกที่มีการพูดถึงเรื่องโรคเอดส์, เพศที่สามและการเหยียดเพศที่สาม
เรื่องย่อ : ด้วยความที่กลัวว่าจะกระทบต่อหน้าที่การงาน ทนายความ แอนดรูว์ แบคเก็ท (แสดงโดย ทอม แฮงส์) ปกปิดรสนิยมทางเพศที่ว่าตัวเองเป็นเกย์ และป่วยเป็นโรคเอดส์ จากเพื่อนร่วมงานในบริษัทกฎหมายขนาดใหญ่ ในฟิลลาเดเฟีย แต่ความลับของเขาก็ถูกเปิดเผย เพราะเพื่อนร่วมงานสังเกตถึงความผิดปกติของร่างกายของเขา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็โดนไล่ออกจากบริษัท แบคเก็ทฟ้องกลับบริษัทข้อหาเลือกปฏิบัติ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะถูกกลั่นแกล้งเรื่องทำสำนวนฟ้องหายและหาเจอในนาทีสุดท้าย
ชาร์ลส วีลเลอร์ เจ้าของบริษัท กับบอร์ดบริหารรู้ว่า แอนดรูว์เป็นพวกรักร่วมเพศและกำลังป่วยด้วยโรคเอดส์ ชาร์ลจึงยกเรื่องที่แอนดรูว์เกือบทำคดีสำคัญเสียหายมาอ้างปลดแอนดรูว์ออก ครอบครัวของแอนดรูว์ยอมรับและเข้าใจในตัวแอนดรูว์ทุกเรื่อง แอนดรูว์ตัดสินใจฟ้องชาร์ลส ครอบครัวก็สนับสนุนเต็มที่โดยไม่ห่วงว่าจะกระทบชื่อเสียง
เขาร่วมมือกับ โจ มิลเลอร์ (แดนเซล วอชิงตัน) ทนายความคนเดียวที่ยอมช่วยเขา และได้ต่อสู้ในชั้นศาลกับทนายแถวหน้าของบริษัทเก่า Belinda Conine ในตอนแรกแอนดรูว์เล่าเรื่องที่ตัวเองเป็นเอดส์และรักร่วมเพศ ทำให้โจปฏิเสธแอนดรูว์ในทันทีเพราะโจมีทัศนคติไม่ดีต่อพวกรักร่วมเพศอยู่ก่อนแล้วและไม่มีความรู้เรื่องโรคเอดส์ จนต้องรีบไปหาหมอทันทีหลังจากแอนดรูว์กลับไป
แอนดรูว์ค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อว่าความให้ตัวเอง ที่ห้องสมุดโจเห็นแอนดรูว์ถูกเจ้าหน้าที่แสดงท่าทีรังเกียจโจเลยเข้ามาคุยกับแอนดรูว์เรื่องคดี โจให้คำปรึกษาแอนดรูว์และรับทำคดี โจนำหมายศาลไปส่งให้ชาร์ลส ชาร์ลสกับพวกตกลงกันว่าจะทำเป็นไม่รู้เรื่องที่แอนดรูว์เป็นเอดส์และเป็นเกย์ก่อนจะถูกไล่ออกเพื่อเลี่ยงประเด็นที่ว่าให้แอนดรูว์ออกเพราะเป็นเอดส์
ระหว่างขึ้นศาลสอบพยานไปเรื่อยๆอาการของแอนดรูว์ก็เริ่มแย่ลงแต่ได้มิเกล (แอนโตนิโอ แบราเดอราส) คู่รักของแอนดรูว์คอยดูแล ก่อนขึ้นให้การนัดสุดท้ายที่แอนดรูว์ต้องขึ้นเป็นพยานแอนดรูว์ชวนโจมาปาร์ตี้ที่บ้าน หลังจากปาร์ตีโจขอคุยและซ้อมสอบพยาน
ที่ศาลทนายฝ่ายชาร์ลสเล่นประเด็นที่แอนดรูว์ปิดบังเรื่องรอยแผลที่เกิดขึ้นตามร่างกายให้แอนดรูว์ส่องกระจกว่าไม่เห็นรอยแผลที่แอนดรูว์ใช้เมคอัพปิดปังไว้ โจแก้เกมด้วยการให้แอนดรูว์ถอดเสื้อโชว์แผลที่เกิดขึ้นตามร่างกาย หลังจากนั้นอาการของแอนดรูว์ก็เริ่มแย่ลงจนหมดสติกลางศาล คณะลูกขุนลงมติเกือบเป็นเอกฉันท์ให้แอนดรูว์ชนะคดี ชาร์ลสต้องจ่ายเงินชดเชย 4 ล้านกว่าให้แอนดรูว์
โจไปเยี่ยมแอนดรูว์ที่โรงพยาบาล ครอบครัวของแอนดรูว์อยู่กันพร้อมหน้าร่วมกันแลดงความยินดีกับโจ ตอนนั้นตาข้างหนึ่งของแอนดรูว์มองไม่เห็นแล้ว ครอบครัวของแอนดรูว์บอกลาแอนดรูว์เป็นครั้งสุดท้าย แอนดรูว์จบชีวิตตัวเองโดยมีมิเกลอยู่เคียงข้าง คืนนั้นมิเกลโทรบอกโจเรื่องแอนดรูว์เสียชีวิต ตอนจบโจมางานศพของแอนดรูว์ ในงานเปิดวิดีโอเทปสมัยแอนดรูว์ยังเด็กไปเที่ยวกับครอบครัวแล้วหนังก็ค่อยๆ เฟดจบไป
ทอม แฮงส์ ลงทุนลดน้ำหนัก 15 กก. เพื่อให้สมเป็นคนป่วยในเรื่องนี้ สุดยอดแห่งการแสดงที่ควรค่าแก่รางวัลและการดูหนังเรื่องนี้ซ้ำจริงๆ ดูแล้วน้ำตาไหลออกมาแบบไม่ต้องเค้นเลย หนังจบก็ยังไม่หยุดร้อง และจะดูอีกกี่รอบก็ร้องอีก
และดูแล้วจะรู้ว่าทำไมเดนเซล วอชิงตันจึงเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์มากที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา เขาแสดงเรื่องนี้ไว้ก่อนจะได้รางวัลออสการ์เป็นของตัวเอง
เขียนบทภาพยนตร์โดย Ron Nyswaner
กำกับโดย Jonathan Demme
และนำแสดงโดย Tom Hanks และ Denzel Washington
Hanks ได้รับรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยม Academy Award ในบท Andrew Beckett
และเพลง "Streets of Philadelphia" ร้องโดย Bruce Springsteen ได้รับรางวัลชนะเลิศเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
Ron Nyswaner ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Academy Award
มาตอบคำถามที่พาดหัวกระทู้ไว้ว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ผ่านมาแล้ว 26 ปี ถึงยังครองใจคนทั่วโลกกว่า 92 เปอร์เซนต์
1. หนังแสดงถึงโฮโมโฟเบียของคนผิวขาว ที่รังเกียจคนสีผิวเดียวกัน เพียงเพราะมีเพศสภาพที่แตกต่าง และยิ่งทวีคูณหนักขึ้นเมื่อคนๆนั้นเป็นโรคเอดส์ ยิ่งเป็นระดับเจ้านายแล้ว ย่อมจะใช้อำนาจที่มีกำจัดลูกน้องที่เป็นเกย์ และโรคเอดส์ออกไปให้ไกลจากบริษัท
2. หนังวางตัวให้ทนายที่เก่งมากอย่างโจ มิลเลอร์ เป็นคนผิวดำ ที่ปกติแล้วคนขาวย่อมคิดว่าตัวดีกว่าคนผิวดำ ยิ่งในสายอาชีพด้วยแล้ว แอนดรูว์คือตัวท๊อปของบริษัท เมื่อต้องตกงาน แอนดูรว์หมดหนทาง ไม่มีทนายคนไหนตกลงช่วยสักคน โจก้ไม่ช่วย เพราะโจก็เป็นโฮโมโฟเบีย
2.1 ขณะที่แอนดูรว์เข้าห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลแก้ต่างให้ตัวเองนั้น บรรณารักษ์ห้องสมุดเชิญให้เขาออกไปนั่งอ่านหนังสือในห้องที่จัดไว้ต่างหาก (บรรณารักษ์เห็นว่าแอนดริวกำลังอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเอดส์) นั่นเป็นบรรยากาศที่แอนดริวกำลังถูกเลือกปฏิบัติอีกครั้ง
ดังนั้น โฮโมโฟเบียเป็นได้ไม่จำกัดผิวสี ชาติพันธ์ และทุกอาชีพ เพศ วัย
3. เมื่อโจตัดสินใจช่วยแอนดูรว์ คือ การทำลายกำแพงผิวสีออกไป แต่เขายังโฮโมโฟเบียอยู่ ตอนเพื่อนทนายล้อเลียนเขาว่า ‘เวลาถูกเกย์สวนทวาร หน้านายขาวขึ้นหรือไม่’ โจตอกกลับไปว่า ‘ผมก็คลื่นไส้พวกโฮโมเหมือนคุณ แต่กฎหมาย (ความยุติธรรม) ต้องเป็นกฎหมาย’ ถึงโจจะรังเกียจเกย์อย่างไร ในฐานะทนายผู้ดำรงความยุติธรรมเขาก็ต้องรักษาสิทธิให้กับพลเมืองตามหน้าที่ทนายที่ดี
แสดงถึงจิตใจของคนในอาชีพเดียวกัน และไม่เกี่ยวว่าจะเป็นผิวสีใดด้วย
4. เมื่อโจรับรู้ถึงความไม่ยุติธรรมที่แอนดูรว์เจอ เขารู้สึกยอมรับการเป็นเกย์ของแอนดูรว์มากขึ้น โจมีความกล้าหาญที่จะเข้าไปใกล้แอนดริวบนเตียงในโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้แอนดริวไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนขึ้นทักทาย โจกล้าหาญที่จะเข้าไปสัมผัสตัวของแอนดริว ทั้งที่ตอนช่วงต้นเรื่องเขารังเกียจจนรีบล้างมือด้วยแอลกอฮอล์
5. ในชั้นศาล แอนดูรว์ต้องเปิดเผยความเป็นเกย์ที่เป็นเอดส์ของเขา และจะกลายเป็นข่าวดังที่สื่อต้องการยิ่งนัก การเปิดเผยชีวิตส่วนตัวของเขาซึ่งอาจมีผลต่อกระทบต่อบุคคลในครอบครัว เขาขอความเห็นจากสมาชิกในครอบครัวที่มีพ่อแม่พี่น้องนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ทุกฅนต่างยอมรับและให้เกียรติเขาในการตัดสินใจ ในขณะที่เขาอุ้มหลานตัวน้อยในอ้อมกอด
ครอบครัวคือพื้นฐานของความรัก ความเมตตา เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแก่ลูกที่เป็นเกย์ เป็นโรคร้าย และเป็นคนตกงาน และเพื่อนที่เข้าใจย่อมไม่รังเกียจในสิ่งที่เป็น
6. เมื่อแอนดริวพร้อมจะเผชิญหน้ากับวาระสุดท้ายของชีวิต ในขณะที่มิเกลแฟนหนุ่มต้องการให้แอนดริวมีชีวิตอยู่ต่อ มิเกลคอยดูแลปรนนิบัติจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตแอนดริวมาถึง ซึ่งในที่สุดมิเกลก็เรียนรู้ที่จะยอมรับวาระนั้น
6.1 แง่มุมนี้หนังได้ทำหน้าที่สวนความคิดสังคมอย่างสิ้นเชิงเมื่อสังคมมักมองว่าเกย์มักจะรักกันไม่ยั่งยืน จริง ๆ แล้วมีเกย์หลายคู่ทีเดียว (ทั้งในต่างประเทศและในเมืองไทย) ที่ดูแลกันและกันจนวาระสุดท้ายในขณะที่ฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอดส์กับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ดูแล
ประเด็นที่หนังนำเสนอนั้นดราม่าหนักมาก แต่ละเมียดละไมทำให้รับรู้ถึงการที่คนป่วยคนหนึ่งลุกขึ้นมาสู้เพื่อความยุติธรรม แม้ว่าจะริบหรี่มากๆ ที่ต่อกรกับองค์กรใหญ่
หนังจบด้วยเพลงสุดเศร้าที่ก้องดังในหัว ซึ่งมีอะไรให้คิดมากมาย มิตรภาพระหว่างฅนที่ติดเชื้อกับฅนที่ไม่ได้ติดเชื้อ ความยุติธรรม ความเท่าเทียม อคติของมนุษย์ ความรักของครอบครัว และความตาย