เมื่อเชื่อมั่นในรัก อย่าปิดประตูไปจากรัก
ความรักได้สอนให้เรารู้ชัดว่า
ความชื่นชมสูงสุดของเรา
อยู่ในการสละความรู้สึกส่วนตัว
เข้ารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้อื่น
--------------
"ความรักที่แท้และความซื่อสัตย์นั้น ถึงแม้จะถูกผลักไสไล่ส่งสักเพียงใดก็ไม่จืดจาง เช่นเดียวกับความเท็จและความไม่จริงใจ ถึงแม้จะได้รับการทะนุถนอมสักเพียงใด ก็ไม่กลับเป็นดีขึ้นได้"
เป็นคำกล่าวของ วิลเลี่ยม เชกสเปียร์ นักเขียนกวีผู้เรืองนามของประเทศอังกฤษ คำกล่าวของเขาสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เรามีวิธีปฏิบัติต่อเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วยความดีและรักแท้บริสุทธิ์ แม้วันหนึ่งจะถูกมองวิธีการแสดงออกเพราะความรักนั้นเป็นเช่นใด ความดีอันเกิดแต่ความรักแท้นั้น ก็ยังคงเป็นความดีอยู่เช่นเดิม ขณะเดียวกันในส่วนที่เป็นความเลวร้าย ถึงแม้จะมีใครโจษขานว่าเป็นความดี ก็ไม่สามารถกลับร้ายกลายเป็นดีได้ เพราะทั้งสองส่วนแยกทางเดินขนานกันอย่างที่ไม่รู้ว่าจะมีเส้นทางบรรจบกันได้อย่างไร
ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากใครมีมุมมองในการใช้ชีวิตด้วยความรักอย่างมีสติ โอกาสที่จะเดินไปสู่จุดที่เป็นความสมดุลระหว่างชีวิตจิตใจของตัวเองและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ย่อมเป็นไปด้วยความเอื้ออารีต่อกันและกันเสมอ เพราะมีวิธีเกี่ยวข้องด้วยอารมณ์แห่งรักที่บริสุทธิ์ มิใช่ความรักที่เคลือบแฝงด้วยความมุ่งร้ายซ่อนไว้ในใจแต่อย่างใด ความรักนั้นจึงก่อให้เกิดเป็นความดีงามอย่างน่าชื่นชม
แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ใดมองความรักโดยมีศูนย์รวมที่ตัวเองเป็นหลัก ต้องการรวมความรู้สึกที่น่าปรารถนาจากผู้อื่นมาบรรจบอยู่ที่ตัวเอง คิดเผื่อให้ผู้อื่นเป็นอย่างที่ประสงค์ และฉุดกระชากลากดึงสิ่งที่ปรารถนามาสู่ห้วงเหตุผลของตัวเองฝ่ายเดียว นั่นแสดงว่าความรักเริ่มลดทอนความบริสุทธิ์ลง กลับกลายเป็นความเห็นแก่ตัวแทน เมื่อนั้นความรักจะกลายเป็นความหลง ทำให้คนนั้นหูหนวกตาบอดในทันที ทำให้มองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน
มองสิ่งที่ผู้อื่นบอกว่าเป็นความผิดว่าถูกต้องในความคิดของตน ฟังคำกล่าวตักเตือนด้วยความหวังดีว่าเป็นความประสงค์ร้าย ทำให้เกิดการไม่ยอมรับในความคิดเห็นนั้น เมื่อภาวะของความลวงครอบงำเช่นนี้ ย่อมทำให้ชีวิตพลัดหล่นจากเส้นทางที่ดีงามไป กว่าจะกลับมาได้ ทุกอย่างที่ถักทอไว้ก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ในการสานต่อให้เป็นความดีได้ดั่งเดิม
รพินทรนาถ ฐากูร ปราชญ์เมธีชาวอินเดียกล่าวไว้ว่า
"ความรักได้สอนให้เรารู้ชัดว่า ความชื่นชมสูงสุดของเรา อยู่ในการสละความรู้สึกส่วนตัวเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้อื่น ความรักนี้ก่อสร้างปัญญา และความงดงามแห่งจิตในขอบเขตที่เราวางไว้ แต่มันจะหยุดอยู่ ถ้าหากเราไม่ขยายขอบเขตนั้นต่อไปอีก และยังจะกลับย้อนมาเป็นปฏิปักษ์ต่อวิญญาณแห่งความรักเองด้วยอีก เพราะมิตรภาพของเราจะเป็นไปเฉพาะพวกเฉพาะเหล่า"
เมื่อได้พิจารณานิยามของความรักอย่างถูกต้องและกระจ่างชัดด้วยความเข้าใจแล้ว เราก็ควรที่จะเข้าไปชำระล้างห้องของดวงใจให้มีความพร้อมที่บริสุทธิ์ ที่จะรองรับความรักอันนำไปสู่ความเกื้อกูลต่อสรรพสิ่ง
เพราะหากมั่นใจในรักที่เป็นความงดงามแล้วไซร้ ไฉนเราจึงต้องปิดประตูแห่งรักนั้นด้วย เพราะรักที่แท้จริงนั้นงดงาม และเอื้ออารีต่อสรรพสิ่งเสมอ แต่เหตุที่รักแปรเปลี่ยนไป ก็เพราะฝนแห่งความหมองเศร้ากระหน่ำพร่างพรมมารดชีวิตชั่วขณะเท่านั้นเอง แต่คราเมื่อหมอกฝนแห่งความหลงเลือนหายไป ความรักแท้ที่งดงามก็กลับมาเยือนชีวิตด้วยความรื่นรมย์เช่นเคย
ถ้าหากเราขาดความเชื่อมั่นที่จะให้ความรักนำทางแล้ว วิธีคิดและการก้าวไปสู่สิ่งที่มุ่งหวังย่อมเลือนรางออกไปด้วยเช่นกัน เพราะการที่ใครคนหนึ่งจะก้าวไปสู่จุดหมายที่หวังไว้นั้น ต้องเริ่มต้นด้วยความรักและศรัทธาที่จะก้าวไป หลังจากนั้นจึงลงมือเดินตามหาฝันนั้นด้วยความพยายาม ผสานด้วยใจที่รู้จักไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นเข็มทิศนำทาง
แต่ถ้าขาดความรักเป็นไฟส่องนำ การแสวงหาของบุคคลนั้น ย่อมไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่ถือโคมไฟส่องทาง แต่ไม่สามารถทำให้เขามองเห็นเป้าหมายที่ปรารถนาอยู่ดี การเดินทางเพื่อไปสู่สิ่งที่หวัง จึงเต็มไปด้วยความยากลำบากเสมอ ทว่าเมื่อให้ความรักนำทางแล้วไซร้ การแสวงหานั้นย่อมเป็นการก้าวไปอย่างมีความหวัง และมีพลังที่จะไขว่คว้าสิ่งที่หมายปองมาครอบครองได้
ดังนั้น หากเชื่อมั่นในรัก อย่าปิดประตูไปจากรัก หากเชื่อมั่นว่ารักจะนำไปสู่การสร้างสันติให้กับชีวิต ก็โปรดทะนุดถนอมรักนั้นด้วยสติปัญญาให้มาโอบล้อมตัวเรา เพื่อเป็นกำแพงกางกั้นธุลีที่จะมาเกาะหน่วงรักนั้นให้ลดกำลังลง เมื่อนั้น รักแท้บริสุทธิ์ย่อมสำแดงตนบนความงดงาม และทรงคุณค่าตามวิถีแห่งรักเสมอ