The Diary บันทึกสีชมพู...ที่หน้าประตูสีม่วง
*** เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้เมื่อปี 2008 (11 ปีที่แล้ว) ถ้านับจากตอนนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ร่วม 20 กว่าปีแล้วล่ะครับ ตอนนั้นผมใช้ชื่อเรื่องว่า "The Diary ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีผัว"... อยู่ๆก็คิดถึงเลยอยากนำเอามาลงใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่ให้ซอฟท์ลง อ่านแล้วชอบ ฝากแชร์กันด้วยนะครับ จะได้ลงตอนต่อๆไป
The Diary บันทึกสีชมพู...ที่หน้าประตูสีม่วง
ตอนที่ 1
“อยากดูแลเมื่อยามเธอหมองเศร้า อยากเป็นเงาเมื่อเธอเหงาใจ อยากเดินเคียงเมื่อเธอต้องการผู้ใด ข้างกายสักคน หากว่าเธอท้อแท้วันใด ถูกสิ่งใดทำใจร้อนรน หากต้องการมีใครสักคนที่พร้อมให้ความอุ่นใจ ขอเป็นคนหนึ่ง ซึ่งคอยห่วงใยแต่เธอเรื่อยไป แม้จะเป็นคนสุดท้าย ที่เธอจะมอง...แม้จะเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะมอง...”
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นมันจะผ่านมาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้วก็ตาม แต่เมื่อใดที่ได้ยินเพลงๆ “ขอเป็นคนหนึ่ง” ของ ‘พี่ตู่ นันทิดา’ น้ำตาแห่งความเหงาก็จะถูกกลั่นออกมาจากดวงตาคู่เศร้าคู่นี้ทุกทีสิน่า...คลอบ้าง ไหลบ้าง ก็แล้วแต่ว่าสภาวะอารมณ์ตอนนั้นมันเป็นยังไง แค่ซึ้งไปกับเพลงเฉยๆ หรือว่าภาพในอดีตมันได้กลับมากระแทกหัวใจเข้าดังโครมใหญ่อีกครั้ง
10.45 น. ของเสาร์ๆหนึ่ง
ผมถอดหูฟังที่เสียบจากโทรศัพท์มือถือออก แล้วลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำ แต่งตัว พร้อมเปิดช่อง 3 ดูรายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ รายการโปรดอีกรายการ ผมชอบดูข่าวนะ และไม่ว่าจะดึกแค่ไหนผมก็จะต้องรอดูข่าวรอบดึกหรือข่าวเช้าวันใหม่ก่อนนอนทุกครั้ง ก็แปลกเนอะ ตอนเด็กๆ เกลียดข่าวมากถึงมากที่สุด เพราะมันอาจดูเป็นสาระเกินกว่าคนไร้สาระอย่างผมจะรับได้(ในตอนนั้นนะ) แต่ทุกวันนี้ผมว่าผมดูข่าวมากกว่าดูละครซะอีก
วันนี้เป็นวันเสาร์ผมควรพักผ่อนนอนอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็ไปเดินช้อปปิ้งตากแอร์ตามห้างฯ อย่างที่ใครๆ เค้าก็ต่างหนีร้อนมาพึ่งเย็นกัน แต่ทว่าผมกลับปฏิเสธทั้งสองช้อยส์นี้ แล้วมุ่งไปยังออฟฟิศแถวลาดพร้าวที่ที่ผมทำงานมากว่า 8 ปีแล้ว ผมใช้เวลานั่งอยู่หน้าคอมฯ ทั้งวันโดยไม่มีความรู้สึกเบื่อแม้แต่นิดเลย จะว่าไปมันก็เหมือนเพื่อนอีกคนในชีวิตของผมที่ช่วยคลายเหงาได้เป็นอย่างดี และไม่ว่าผมจะด่าจะว่ามันยังไง (เมื่อมันแฮงค์หรือเข้าไม่ได้ให้เซ็งจิตอยู่บ่อยๆ) มันก็ไม่มีปากเสียงหรือเถียงกลับเลยสักครั้ง (บ้าปะยะ คอมฯ นะ ไม่ใช่คน) ที่สำคัญมันยังช่วยเบิกเนตรนำผมไปสู่หนทางแห่งความฉลาดเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีอะไรหรอกที่มันไม่รู้ อู๊ย! มันรู้ลึกรู้ดียิ่งกว่าทีวีพูลซะอีกน่ะ (ฮา)
เพลง...ขาดไม่ได้เลยสักครั้ง เมื่อเปิดคอมฯ ผมก็ต้องเปิดเพลง และเพลงในเครื่องของผมแต่ละเพลงนั้นน่ะ คนอายุ 30 อัพจะต้องชอบ (ผมเชื่ออย่างนั้นนะ) แหม ก็เพลงยุคนั้นน่ะ เบิร์ด มาลีวัลย์ นันทิดา เจ แหวน ใหม่ มาช่า ติ๊นา อัสนี-วสันต์ นูโว ฯลฯ (โอ้โห! เพลงหรือพงศาวดารกันยะ เพื่อนๆ น้องๆ มักจะเมาท์ผมทุกที...แต่มันก็ฟังกันนะ เชอะ!) ขอบอกว่าดังสุดๆ แบบฉุดไม่อยู่จริงๆ แล้วเพลงของพี่ๆ ป้าๆ น้าๆ อาๆ เหล่านี้ก็ดังลากยาวมาจน ณ บัดนาวเลยทีเดียว อ๊ะ! หรือว่าจะเถียง (คงเถียงไม่ออกหรอก เพราะปากกำลังฮัมเพลง สบาย สบาย ถูกใจก็คบกันปายยยย อยู่ล่ะสิ...ใช่ม้า?)
ผมนั่งเช็กเมล์ ดูเว็บ เล่นเอ็ม (เอสเอ็น) สลับกับการกินพอคเวียนเนอร์ไส้กรอกสุดโปรดจาก 7-11ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมต้องตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง เมื่อเพลงที่ผมเซ็ตเอาไว้รันมาถึงเพลงนี้...
“อยากดูแลเมื่อยามเธอหมองเศร้า อยากเป็นเงาเมื่อเธอเหงาใจ อยากเดินเคียงเมื่อเธอต้องการผู้ใด ข้างกายสักคน...”
พลันภาพในอดีตเมื่อ 17 ปีที่แล้วก็แว้บเข้ามาให้สมองทั้งสามส่วนอย่างรวดเร็ว
“ตั้ม...ตั้มจะไปแล้วจริงๆ เหรอ” ผมเอ่ยเสียงอ่อยๆ พร้อมกับน้ำตารื้นๆ
“ครับ” ตั้ม แฟนรุ่นน้องที่กำลังจะกลายเป็นอดีตในชีวิตของผมตอบกลับมาแค่นี้
“แล้วเราจะได้เจอกันอีกมั้ย”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ตั้มหันมามองหน้าผม ซึ่งผมก็เดาไม่ถูกเหมือนกันว่า ณ ตอนนี้ตั้มรู้สึกกับผมยังไง เหมือนเดิมอย่างที่เราเคยเป็น หรือว่ามันกำลังจะจบพร้อมๆ กับที่เค้ากำลังจะจาก
“ตั้ม...พี่ขอหอมแก้มตั้มเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย”
ผมเริ่มเสียงสั่น เอ่ยขอร้อง ทั้งๆ ที่ผมกับตั้มเราก็เป็นแฟนกันนะ แล้วผมจะขอร้องเค้าทำไมล่ะ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง ในขณะเดียวกันผมก็ไม่เข้าใจในตัวตั้มเหมือนกัน
“เอ่อ...อย่าดีกว่าพี่ อายเค้าน่ะ”
มันก็สมควรอายอยู่หรอก เพราะเราทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในที่รโหฐานแต่อย่างใด เรานั่งคุยกันที่โต๊ะหินอ่อนหน้าตึกโรงเรียน ซึ่งตั้มกำลังรอพ่อกับแม่มารับกลับให้ไปเรียนต่อที่เชียงใหม่...แล้วเค้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก!
“ขออีกครั้งเดียว ครั้งสุดท้ายไม่ได้เหรอ” ผมยังคงดื้อดึงแกมอ้อนวอน เพราะผมรักเค้า มันทรมานมากๆ เมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ คนที่ผมรักเค้ากำลังจะไปแล้ว
“…………”
ไม่มีคำตอบใดๆ ออกมาจากปากของตั้ม ผมเริ่มถอนหายใจแบบห่อเหี่ยวออกมาเบาๆ แล้วรู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าของผมมันร้อนและชาไปพร้อมๆ กัน อืม...ไม่ก็ไม่ ผมบอกกับตัวเองในใจ แล้วถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า...มันจะจบแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย ต่ออีกหน่อยได้มั้ย ที ‘คู่กรรม’ กว่าโกโบริจะตายได้ โห...โฆษณาเป็นสามสี่เบรกยังนอนครวญครางอยู่ในอ้อมกอดแม่อัง จนเหน็บกินขาเล่นเอาชาแทบลุกไม่ขึ้น เผลอๆ นานอีกนิดแม่อังอาจจะกลายเป็นแม่อัม (พาต) ก็ได้...ยืดแบบนี้บ้างไม่ได้เหรอ...ผมพยายามเล่นมุกกับตัวเองเพื่อกลบความเคว้งในสมองตอนนี้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลย...
ทุกอย่างเงียบ...เงียบจริงๆ
และ...ในที่สุด ช่วงเวลาที่ผมไม่อยากให้มาถึง...มันก็มาแล้ว
“พี่เนล...พ่อกับแม่ตั้มมารับแล้วนะ” ผมหลุดจากอาการเหม่อลอยทันทีที่ได้ยินเสียงตั้ม
“ตั้มไปนะ”
“โชคดีนะ” นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้อวยพรให้กับตั้ม ขอให้ตั้มโชคดี ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ มันเหมือนมีอะไรจุกอยู่ตรงคอ หัวใจผมเต้นแรง หายใจไม่ทั่วท้อง น้ำตาเริ่มคลอเบ้าอีกครั้ง
ตั้มคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งไปที่รถของพ่อและแม่ที่จอดรออยู่ ประตูรถเปิดออก ผมมองไม่ละสายตา มองทุกภาพ มองทุกวินาทีที่ตั้มไปที่รถ กำลังจะก้าวขาขึ้นรถ แล้วเข้าไปนั่งที่รถ ปิดประตูรถ แล้วรถคันนั้น คันที่พรากเราสองคนก็เคลื่อนตัวออกไป ผมยังคงมองอย่างไม่ละสายตา มองตามไปจนกระทั่งรถออกจากประตูโรงเรียนไปจนลับตา ขาผมเริ่มไม่มีแรง ยืนแทบไม่ไหว แต่จะให้ผมนั่งจมอยู่คนเดียวอย่างนี้ และตรงนี้ ผมคงบ้าตายแน่ๆ ผมตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์ไปหา ‘ตู่’ เพื่อนสนิทต่างโรงเรียนอีกคน บ้านตู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ ไม่เกิน 5 นาทีผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึง
“ตู่...ตั้มมันไปแล้วอะ”
เสียงสะอึกสะอื้นพร้อมน้ำตาที่ตอนนี้ไหลประดุจดังท่อน้ำแตก ตู่ไม่พูดอะไรมาก เพราะรับรู้เรื่องราวของผมกับตั้มมาโดยตลอด คำปลอบโยนของตู่ยิ่งทำให้ผมร้องหนักเป็นทวีเท่า จนมันรำคาญหรือว่ามันอยากให้ผมรู้สึกดีขึ้นก็ไม่รู้ มันเลยบอกว่าจะออกไปหาซื้ออะไรมาให้กิน คิดดูสิ สภาพผมตอนนี้มันคงกินอะไรได้หรอก แต่ก็เอาเหอะ เพื่อนหวังดี ผมก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หลังจากตู่ออกไปแล้ว ผมเริ่มทำตัวเป็นนางเอกมิวสิกทันที ‘พี่ตู่ นันทิดา’ คือตัวช่วยในวินาทีนั้น กับเพลงดังของอัลบั้มชุดนี้
“...อยากดูแลเมื่อยามเธอหมองเศร้า อยากเป็นเงาเมื่อเธอเหงาใจ อยากเดินเคียงเมื่อเธอต้องการผู้ใด ข้างกายสักคน... ขอเป็นคนหนึ่ง ซึ่งคอยห่วงใยแต่เธอเรื่อยไป แม้จะเป็นคนสุดท้าย ที่เธอจะมอง...แม้จะเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะมอง...”
รอบแรกผ่านไป
“อยากดูแลเมื่อยามเธอหมองเศร้า อยากเป็นเงาเมื่อเธอเหงาใจ อยากเดินเคียงเมื่อเธอต้องการผู้ใด ข้างกายสักคน...”
รอบที่สองผ่านไป
“ขอเป็นคนหนึ่ง ซึ่งคอยห่วงใยแต่เธอเรื่อยไป แม้จะเป็นคนสุดท้าย ที่เธอจะมอง...แม้จะเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะมอง...”
รอบที่ 3, 4, 5, 6.....และรอบที่เท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับอีก
ผมนึกขำกับตัวเองเหมือนกัน ร้องไห้ไป พอจบก็ต้องกดกรอเทปใหม่ (อ้อ...สมัยยุคหินเก่ายังไม่มีเครื่องเล่นซีดีอะนะ) มันจะเศร้าหรือจะตลกดีเนี่ย?
..........
เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ทำให้ผมคิดถึงตั้มขึ้นมาทันที เราไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วนี่ แล้วตอนนี้ตั้มจะเป็นยังไงบ้าง มีแฟนหรือยัง ทำงานอะไร และอยู่ที่ไหน หลายคำถามที่ผมถามตัวเอง แต่ก็หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้...Google ผมนึกถึง Google ขึ้นมาทันที เว็บที่เวิลด์ไวด์สุดๆ ผมไม่รอช้ารีบพิมพ์ชื่อ-นามสกุลของตั้ม แล้วกดเซิร์ชรออย่างใจจอใจจ่อ ไวกว่าความคิด ชื่อของตั้มก็ขึ้นที่หน้าจอ ผมดีใจมาก หัวใจบีบตัวแรงเพราะความตื่นเต้น ผมจะสามารถติดต่อตั้มได้อีกครั้งแล้วใช่มั้ย
ข้อมูลของตั้มถูกจัดเก็บอยู่ในแบบฟอร์มของใบสมัครงานออนไลน์ ถึงจะไม่ละเอียดมากนัก แต่มันก็มีทั้งที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ (ที่บ้าน) อี-เมล์ จะให้เขียนจดหมายไปหาเหรอ แล้วผมจะเขียนอะไรล่ะ จะขึ้นหัวเริ่มต้นว่ายังไง ไม่...ไม่ดีกว่า หรือว่าโทรไปคุยเลยดี ไม่อะ ผมไม่กล้าที่จะโทรหาเค้าแน่นอน ผมกลัว ผมไม่รู้ว่าความที่เราห่างกันกว่า 17 ปี เค้ายังจะเก็บผมไว้ในซอกหลืบรอยหยักแห่งความทรงจำบ้างหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจว่าเค้าไม่มีทางลืมผมแน่นอน!
และช้อยส์สุดท้ายที่เหลืออยู่ที่จะสามารถติดต่อกับตั้มได้ ผมเลือกแอดเมล์ตั้มไว้ในเอ็มของผม เผื่อถ้าตั้มออนเมื่อไหร่ เรา (คง) จะได้คุยกัน ผมคิดอย่างนั้น
..........
เช้าวันจันทร์...ผมรีบมาทำงานเร็วกว่าปกติ จนน้องๆ ที่ออฟฟิศอดแซวไม่ได้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เพราะปกติกว่าจะเห็นผมเข้ามาทำงานก็สายๆ โน่นแน่ะ ผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วตอ (แหล) กลับไปว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เลยตื่นเช้าอะ แต่ไม่ใช่หรอก ผมอยากจะเจอตั้มต่างหาก หวังในใจลึกๆ ว่า ตั้มคงจะออนเอ็มแน่ๆ เซ้นส์มันบอกน่ะ แต่...แต่ผมก็ต้องผิดหวัง เพราะมันยังออฟไลน์อยู่ เอ๊ะ! หรือว่าเมล์นี้ตั้มจะไม่ใช้แล้ว เฮ้อ...รู้งี้ตื่นสายเหมือนเดิมก็ดีอะ อุตส่าห์แหกขี้ตามา แต่ก็ช่างเหอะ จะไปอะไรมาก ผมปลอบใจตัวเองอยู่ลึกๆ คิดได้อย่างนั้นก็นั่งทำงาน เขียนสคริปต์ ตรวจสคริปต์น้องๆ คุมลงเสียง เช็กงานในห้องตัดต่อ ง่วนกับงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง....
ตั้มออนแล้ว...ตั้มออนแล้วจริงๆ ด้วย แต่...ผมตื่นเต้นได้ยังไม่เท่าไหร่ ก็ต้องรู้สึกเฟลนิดๆ เมื่อเห็นหัวเอ็มของตั้มเขียนว่า TUM LOVE NOI และรูปที่ดิสฯ ก็เป็นรูปตั้ม (แหมไว้ผมยาวซะด้วย เซอร์เชียว) ผู้หญิงคนหนึ่ง (คาดว่าน่าจะเป็นคนที่ตั้มบอกว่า LOVE นั่นล่ะ) และเด็กอีกสองคน หรือว่า...อืม...น่าจะใช่ ผมคิดว่าน่าจะใช่...มันใช่แน่ๆ
เอาน่า...ลองคลิกเข้าไปคุยหน่อยละกัน...ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่คิดเสียว่าคนเคยรู้จักกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน คุยกันไม่เสียหายอะไรหรอก อันนี้ผมคิดแค่คนเดียวนะ ผมไม่รู้ว่าตั้มจะคิดแบบผมหรือเปล่า
NEL says : "สวัสดีตั้ม"
………………….
………………….
………………….
………………….
และ .............
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนที่ท่าน (อยากจะ) คุยด้วย เอ...หรือว่าตั้มไม่อยู่แต่ออนทิ้งไว้ หรือว่าตั้มไม่คุ้นกับเมล์ที่แอดเข้ามาหาเลยไม่คุยด้วย หรือว่าตั้มทำงานยุ่งอยู่เลยไม่สนใจตอบกลับ หรือว่า...หรือว่า...และอีกหลายหรือว่าเหตุผลที่ผมอยากรู้เหลือเกิน
TUM says : “หวัดดี ใครอะ”
เย้!!! ตั้มตอบกลับแล้ว ผมตื่นเต้นบอกไม่ถูกจริงๆ หัวใจของผมตอนนี้มันเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว ผมจะตอบกลับว่าไงดีเนี่ย อืม...
NEL says : “เอ่อ...พี่เนลไง จำพี่เนลได้ปะ”
TUM says : “เนลไหนอะ”
NEL says : “ก็พี่เนลที่เคยอยู่หอเดียวกับตั้มตอนเรียนที่ลำปางไง หอของมาสเตอร์บุญเย็นไงล่ะ”
TUM says : “จำไม่ได้อะ”
ไม่จริง! ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าตั้มจะจำไม่ได้ นอกเสียจากตั้มจะรถพลิกคว่ำหรือหัวคะมำฟาดพื้น จนสติไม่สมประดี ตั้มกำลังจะปฏิเสธว่าเราเคยรู้จักกันใช่มั้ย?
NEL says : “พี่ยังจำไอ้ดิวน้องตั้มได้เลย และก็พวกไอ้ก้อง ไอ้หนึ่ง ไอ้ต่าย เพื่อนๆ ของตั้มที่หอไง”
…………………….
…………………….
……………………..
ตั้มเงียบไปนาน ผมรู้ว่าตั้มจำทุกอย่างได้ดี และผมก็รู้ว่าตั้มคงไม่อยากคุยกับผมเท่าไหร่หรอก
TUM says : “อ๋อ จำได้ละ”
เชอะ! อย่ามาทำฟอร์มเลยคนเรา
NEL says : “เป็นไง สบายดีมั้ย มีแฟนหรือยังอะ”
TUM says : “ลูกสองแล้ว”
ใช่จริงๆ ด้วย เด็กสองคนที่ดิสฯ นั้น ใช่ลูกของตั้มอย่างที่ผมคิดจริงๆ และนั่นก็คงเป็นเมียของตั้ม ผมนึกถามตัวเองอีกครั้งว่าผมต้องการคุยกับตั้มเพื่ออะไรอีก ถ้าเพื่อต้องการให้ความรู้สึกดีๆ เมื่อ 17 ปีกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง บอกได้เลยว่าความเป็นไปได้เท่ากับ ศูนย์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และก็ศูนย์
NEL says : “ตั้มรู้ปะ พี่เคยเขียนเรื่องตั้มลงในนิตยสารด้วยนะ”
คือก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องของผมกับตั้มลงในคอลัมน์นิตยสารผู้หญิงที่เผ็ดแซ่บฉบับหนึ่ง เป็นเรื่องสั้นๆ ที่พูดถึงความรักในช่วงหนึ่งของชีวิต
TUM says : “จริงดิ เขียนไรอะ เอ็กซ์ปะ”
NEL says : “เต็มเหนี่ยว อิๆๆๆ”
ผมดีใจนะที่ตั้มยังตอบกลับผมมาด้วยภาษาที่ขี้เล่นเหมือนแต่ก่อน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ตัวหนังสือก็ตามที แต่มันก็ทำให้ความรู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจเกิดขึ้นได้
................................
.................................
.................................
.................................
ตั้มเงียบอีกแล้ว ครั้งนี้ตั้มเงียบไปนานมากๆ และ...ในที่สุดตั้มก็ออฟไลน์ เฮ้อ…ผมพร่ำบอกกับตัวเองว่ามันคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ ทุกอย่างมันต้องเดินไปตามวิถีของมัน ต้องอยู่กับความจริง และปัจจุบันนี่แหละคือความเป็นจริงที่สุด!!!
............................................
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ