เสียงจากลูกสาวผู้บุกเบิกเกาะหลีเป๊ะ เสียงจากผู้อาวุโสตระกูล “อังโชติพันธ์” เสียงเพรียกถึงความสุขสงบของชาวเล
โพสท์โดย Akkarat Wogpanngam
สุสานของ “โต๊ะคีรี” ถูกปัดกวาดและทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้ง ชาวอูรักลาโว้ยบนเกาะหลีเป๊ะ ยังเคารพและศรัทธาโต๊ะคีรีในฐานะผู้ที่บุกเบิกและเปรียบเสมือนวีรบุรุษผู้ก่อร่างสร้างชุมชนชาวเลบนเกาะแห่งนี้ แม้ปัจจุบันสุสานของโต๊ะคีรีจะถูกบดบังจากรีสอร์ท และทางเข้าเป็นเส้นทางของเอกชน แต่ทุกๆปีพิธีกรรมทำความเคารพบรรพบุรุษยังคงเกิดขึ้นเสมอ โต๊ะคีรีเข้ามาบุกเบิกเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน โดยระหว่างที่โต๊ะคีรีล่องเรือจากอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซียไปยังเกาะลันตาได้สังเกตเห็นความร่มรื่นของที่ราบบนเกาะแห่งนี้ ขากลับโต๊ะคีรีจึงได้ชักชวนเพื่อนๆอีก 4-5 แวะจนตัดสินใจปักหลักอยู่ที่นี่
ในยุคของการล่าอาณานิคม และการขีดเส้นแบ่งแดนกำลังเข้มข้นโดยเฉพาะมหาอำนาจตะวันตกใช้ความได้เปรียบด้านอาวุธและกำลังกดดันให้ไทยปักปันเขตแดน โต๊ะคีรีกลายเป็นเครื่องบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ทำให้หมู่เกาะย่านนี้ไม่ตกไปเป็นของมาเลเซีย โต๊ะคีรีคงไม่คิดว่าที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะที่แกบุกเบิกและแบ่งปันไว้ให้ลูกๆหลานๆชาวเล มาวันนี้ทรายทุกเม็ดกลายเป็นเงินเป็นทองเพราะกระแสการท่องเที่ยวอันเชี่ยวกราก ขณะที่ลูกหลานชาวเลเปลี่ยนจากเจ้าของที่ดินเป็นเพียงผู้ที่อาศัยและคนพเนจร เหลือเพียงคนไม่กี่ตระกูลที่เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่จับมือกับทุนภายนอกประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว
ในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ความยากลำบากของชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะ ทั้งเรื่องการถูกหลอกให้ขายที่ดิน เรื่องถูกปิดกั้นเส้นทางลงทะเลจากเจ้าของรีสอร์ท เรื่องไม่มีสุสานสำหรับฝังศพ ฯลฯ ได้ถูกถ่ายทอดสู่สังคมเป็นระยะๆ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลาย ขณะที่สายตาจำนวนมากตั้งคำถามไปที่เจ้าของที่ดินรายใหญ่คือตระกูล “อังโชติพันธ์” ซึ่งเป็นลูกหลานของโต๊ะคีรี
โต๊ะคีรีมีเมีย 2 คนและมีลูกหลายคน หนึ่งในนั้นคือ นางดารา อังโชติพันธ์ ซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันอายุกว่า 80 ปี
นางดาราเป็นเป็นบุคคลที่ชาวบ้านอ้างถึงมากที่สุดในฐานะผู้สืบเชื้อสายของผู้บุกเบิก และเป็นผู้นำของตระกูลอังโชติพันธ์ที่มีชื่อเสียงในด้านการถือครองที่ดินบนเกาะรายใหญ่ที่สุด จากคำกล่าวอ้างของคนในครอบครัวระบุว่ามีประมาณ 81 ไร่ ต่อมาเมื่อความเจริญเข้าถึงเกาะหลีเป๊ะ ที่ดินหลายแปลงจึงกลายร่างเป็นร้านค้า ที่พัก และมีบางแห่งที่เป็นบ้านชาวเลอูรักลาโว้ยที่ตระกูลใหญ่ระบุว่า เป็นการแบ่งปันให้อยู่อาศัยในฐานะลูกหลานโต๊ะคีรี
“ฉันไม่ได้ลงไปเกาะมานานประมาณ 3 ปีแล้ว เพราะปัญหาสุขภาพ ทั้งเบาหวานและความดัน แต่ยืนยันว่าจะหาเวลาไปเยือนเกาะอันเป็นบ้านเกิดอีกครั้งให้ได้ ฉันอยากเห็นทะเลที่สวยงามสงบ” นางดารา เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
นางดาราย้อนอดีตว่า เมื่อครั้งเป็นเด็กหญิง พ่อคือโต๊ะคีรีเป็นคนน่าเกรงขาม ขยันทำมาหากินเป็นชาวเลที่ออกเรือบ่อยที่สุด แม้ในหน้ามรสุมโดยใช้เรือพาย โดยโต๊ะคีรีจะออกเรือร่วมกับโต๊ะเอม โต๊ะบูโด๊ย ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะด้วยกัน ซึ่งบ้านเดิมใต้ถุนสูง เพราะสร้างไว้เก็บของ จอดเรือ ต่อมาชาวเกาะได้ปลูกข้าว ปลูกมะพร้าวและพืชสวนอื่นๆไว้กินไว้ขาย โดยยายดาราและเพื่อนๆต้องทำงานช่วยครอบครัวในการขนมะพร้าวแห้งไปขายที่เมืองสตูล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 วัน 1 คืนในการเดินทาง และหากค่ำก่อนถึงที่หมายจะแวะพักที่เกาะตะรุเตาและทักทายญาติๆในเกาะก่อนกลับบ้าน
“เมื่อก่อนผู้นำหมู่บ้านที่ตะรุเตาและที่หลีเป๊ะต้องรับแขกเยอะ เพราะมีคนเมืองและต่างถิ่นเข้ามาพักที่เกาะ ชาวเกาะจะหาน้ำ หาข้าวมาต้อนรับ เลี้ยงดู เหมือนกับเป็นญาติ ชาวบ้านในเกาะมีอะไรจะแบ่งกันกิน ไม่ต้องซื้อขาย ถ้าจะขายจะเข้าไปในเมือง คนทะเลจึงใกล้ชิดกันมาก เหมือนพี่น้อง ฉันจึงชอบอยู่เกาะมากกว่าในเมือง ยังจำวันที่วิ่งเล่นหาดทรายและนั่งในสวนมะพร้าว สวนสนได้ดี ” แววตาของยายดาราเจิดจรัสเป็นประกายเมื่อพูดถึงชีวิตในวันเด็กอันเรียบง่ายของชาวอูรักลาโว้ย
เมื่อเริ่มโตเป็นสาว นางดาราไม่ได้เข้าเรียนหนังสือ โดยโต๊ะคีรีได้ส่งไปหางานทำและไปช่วยธุระบ้างยามจำเป็นทำให้มีหนุ่มๆมารักมาปองหลายคน แต่โต๊ะคีรีเลือกคู่ครองเป็นกำนัน “บรรจง”
“ฉันเจอกับกำนันจงตอนไปงานสัมปทานไข่เต่า แรกๆก็ไม่ชอบคนเมือง แต่เขามาขอ พ่อก็ยกให้ เพราะบอกว่าเขาดูแลฉันได้ เราร่วมกันทำมาหากิน มีลูกด้วยกัน 6 คน ตายไปตอนเด็ก 1 คน เหลือ 5 คน ฉันพยายามเลี้ยงดูพวกเขาให้ใกล้ชิดกับคนบนเกาะ กำนันเขาขยันและหาเงินเก่ง ต้องเข้าไปในอำเภอบ่อยไปประชุม ฉันเลี้ยงลูกที่บ้านลำพัง ช่วงนั้นมีคนเข้ามาในเกาะเป็นหน้าใหม่กันเยอะทั้งจากเกาะลันตา ภูเก็ต แรกเริ่มนั้นมีคนนอกมาตั้งถิ่นฐานกันก็ประมาณ 10 ครอบครัว ชุมชนคนเกาะจึงค้าขายกันมากขึ้น”
เมื่อมีรายได้จากการค้าขาย นางดาราและกำนันจงจึงมีฐานะมากกว่าชาวเลทั่วไป และด้วยเหตุผลที่กำนันจงเป็นข้าราชการส่งผลให้มีที่ดินสะสมเพิ่มขึ้น ทั้งจากน้ำพักน้ำแรงและที่ดินมรดกของดารา
“เมื่อทางการประกาศให้ออกเอกสารสิทธิ์ช่วงแรก ครอบครัวของเราจึงได้สิทธิบนที่ดินเกาะหลีเป๊ะถึง 110 ไร่ แต่การทำรังวัดในช่วงหลังมีความคลาดเคลื่อนเหลือประมาณ 80 กว่าไร่ การแจกที่ดินนั้นเป็นการแจกแบบคาดคะเน ฉันจำอะไรได้ไม่มากนัก ลูกๆเขาก็บอกมาอีกทีว่าที่ดินเราเท่าไหร่ ส่วนอุทยานเข้ามาทีหลัง” นางดารานึกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเลขต่างๆได้ไม่มากนัก แต่สิ่งที่นางดาราย้ำอยู่บ่อยๆคือ “ฉันรู้แค่ว่าชีวิตบนเกาะมันสบายใจดี ฉันชอบ แต่เมื่อเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับ ”
เมื่อถูกตั้งคำถามถึงเรื่องราวของชาวบ้านบนเกาะในปัจจุบัน ยายดาราระบุว่าติดตามข่าวสารมาโดยตลอด เข้าใจความทุกข์ของพี่น้องคนทะเลดี แต่จำเป็นต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง ตนในฐานะแม่อยากให้ลูกๆทั้ง 5 คนได้จัดการที่ดินมรดกเพราะที่ผ่านมาก็แบ่งที่ดินให้คนทะเลอยู่มาโดยตลอด ทั้งนี้หลังจากการท่องเที่ยวเติบโตขึ้น มีคนเมืองมาขอซื้อที่ดินก็มีทั้งปฏิเสธและยอมแบ่งขายอย่างกรณี”โกหงวน”รู้จักกันมานานและใกล้ชิดกันก็ยอมแบ่งขายให้ แต่กับชาวบ้านทั่วไป คือ ยอมให้อยู่เพราะเห็นเป็นลูกหลานโต๊ะคีรี ซึ่งทุกๆปีจะจัดพิธีเคารพบรรพบุรุษร่วมกัน และเมื่อมีขัดแย้งเรื่องที่ดิน ยอมรับว่าไม่สบายใจและกังวลมาก กลัวชาวบ้านจะแตกแยก
“เวลาฉันลงไปเกาะฉันมีความสุขมากที่ใครๆก็มาหาฉันที่บ้านสีเหลือง(บ้านหลังแรกที่นางดาราและกำนันจงอยู่ด้วยกันซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอันดามันรีสอร์ท)เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉัน เขาจากไปหมดแล้ว เหลือแค่ความทรงจำ ทุกครั้งลงไปจะเข้าไปนอนที่บ้านสีเหลืองและแวะไปนั่งเล่นใกล้ๆสุสานโต๊ะคีรี ฉันไม่อยากจะไปไหนไกล เพราะฉันเป็นคนทะเลเมื่อมีโอกาสกลับทะเลก็อยากอยู่ใกล้ๆกับพ่อ” ยายดารายังคงเน้นย้ำถึงความสุขในอดีต
นางดารายืนยันว่าเจตจำนงของตนในการแบ่งที่ดินแก่ลูกๆเพื่อทำประโยชน์ ซึ่งบางคนนำไปสร้างรีสอร์ทนั้น ตนไม่ขัดข้อง แต่กรณีขัดแย้งทางที่ดิน อยากให้ชาวบ้านได้มีโอกาสคุยกัน
“อยากจะปรึกษาทุกคนนะในหลายๆเรื่อง คนทะเลเขารู้จักฉันดีและให้ความเคารพ เรามีอะไรเราจะต้องหาเวลาคุยกัน ฉันคิดว่าบางคนขายที่ดินไปหมดแล้ว และกำลังเดือดร้อนอยู่ ฉันคิดไม่ออกว่าจะช่วยเอาที่ดินกลับมายังไง แต่เห็นใจมากที่ไร้ที่อยู่ จึงคิดหาเวลาคุยกัน ที่ปรึกษาลูกๆไว้นั้นคิดว่า คนที่ไม่ที่ดินจริงๆอยากจะให้ช่วยย้ายพวกเขาไปอยู่หลังเกาะ แต่ไม่รู้ว่าเขามีปัญหาอะไรไหม รอเวลาผ่านไปสักครู่อาจคุยได้”
ไม่ง่ายเลยที่ผู้อาวุโสอย่างนางดาราที่ต้องทำหน้าที่แม่และผู้สืบทอดเชื้อสายโต๊ะคีรีที่ชาวเลบนเกาะเคารพนับถือต้องรับรู้ปัญหา การสะท้อนมุมมองแต่ละช่วงชีวิตบ่งบอกว่า ยายดารายังเป็นชาวเลที่รักเกาะหลีเป๊ะและความชอบในวิถีชีวิตชาวเล แต่ปัญหาต่างๆก็ทำให้นางต้องแน่นอก
แต่ข้อเสนอของนางดาราที่ระบุว่า “คุยกัน” เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและควรมีการสานต่อ เพื่อร่วมกันหาทางออกให้ชาวอูรักลาโว้ยบนเกาะหลีเป๊ะที่กำลังจะจมหายไปในกระแสอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอันสามานย์
ข้อมูลสำนักข่าวชายขอบ : transbordernews.in.th
ขอบคุณที่มา: https://lookchang.com/new-in-lipe/ , transbordernews.in.th
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
12 VOTES (4/5 จาก 3 คน)
VOTED: Tä Köhler, zerotype, Akkarat Wogpanngam
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เหยื่อปลัดสาวเมาขับ เสียชีวิตเพิ่มปลัดสาวเมาขับ ชนเด็กเสียชีวิตตำรวจเตือนหญิงขับสกุ๊ตเตอร์ไฟฟ้าขึ้นถนนใหญ่ เจอสวนกลับ ถ้าห้ามขับไปบอกร้านว่าห้ามขายสิจากหลอนกลายเป็นฮา หนุ่มเจอต้นเหตุผีอำ ชาวเน็ตแห่แชร์คลิปสุดไวรัลจากชายถังแตกสู่ดาวค้างฟ้า เพราะหนัง Rockyขนม เม้นท์ เลี้ยงลูกเป็นเพื่อนกันนะ หลังครูเต้ยโพสต์คลิป"ตารางลดน้ำหนัก" ฉบับกินยังไงก็ผอม"Dabbawala" อาชีพเก่าแก่แห่งเมืองมุมไบระทึก! ลูกชายวิ่งขอความช่วยเหลือทั้งที่เจ็บหนัก หลังอุบัติเหตุชนกองข้าวตากบนถนน บุรีรัมย์หามส่งโรงพยาบาลแล้ว ทริปน้ำไม่อาบHot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ฮาลั่น! คำตอบของหนูน้อยไร้เดียงสาที่มาประกวดนางนพมาศ..รับรองขำแน่นอนฮาวทูเสิร์ฟข้าวผัดไก่ให้ถูกใจลูกค้าฝรั่ง พนักงานทำดี ทำถึง เดินเสิร์ฟเฉย ๆ มันธรรมดาไปสินะ"Dabbawala" อาชีพเก่าแก่แห่งเมืองมุมไบระทึก! ลูกชายวิ่งขอความช่วยเหลือทั้งที่เจ็บหนัก หลังอุบัติเหตุชนกองข้าวตากบนถนน บุรีรัมย์