คุณแพ้ถุงยางอนามัยหรือเปล่า ? มาหาคำตอบกันเถอะ
โพสท์โดย nineemayy18
คุณแพ้ถุงยางอนามัยหรือเปล่า ?
“ถุงยางอนามัย” ที่มีวางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป เกิน 80% ผลิตจากยางพารา ซึ่งโดยทั่วไปคนประมาณ 1-6% จะมีอาการแพ้ยางพาราเป็นทุนเดิม จึงอาจแพ้ถุงยางอนามัยชนิดนี้ด้วย หากแบ่งจากวัสดุที่ใช้ผลิต เราสามารถแบ่งถุงยางอนามัยออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
- ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา ข้อดี คือ ราคาถูก หาซื้อง่าย นอกจากคุมกำเนิดได้ดี และมีประสิทธิภาพแล้ว ยังป้องกันเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย ข้อเสีย คือ ต้องใช้ร่วมกันกับสารหล่อลื่นชนิดน้ำเท่านั้น ห้ามใช้ร่วมกับน้ำมัน เช่น เบบี้ออยล์ โคลด์ครีม โลชั่น ปิโตรเลียมเจล น้ำมันพืชทุกชนิด ฯลฯ เพราะจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อม เกิดการฉีกขาดได้ขณะใช้งาน
- ถุงยางอนามัยที่ทำจากเยื่อธรรมชาติ ถุงยางอนามัยชนิดนี้ มีจำหน่ายอยู่ในตลาดไม่ถึง 5% โดยผลิตจากลำไส้ของแกะ มีข้อดีต่างจากถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพาราตรงที่สามารถใช้ได้กับสารหล่อลื่นทุกชนิด โดยไม่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพ ข้อเสียคือ หาซื้อได้ยาก ไม่ค่อยมีขายทั่วไป อีกทั้งลำไส้สัตว์ที่นำมาใช้ผลิต ยังมีรูพรุนเล็กๆ ที่มองไม่เห็น ซึ่งเชื้อไวรัสต่างๆ อาจจะผ่านเข้าไปได้ การคุมกำเนิดและป้องกันโรคจึงไม่ได้ผลดีเท่ากับถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา
- ถุงยางอนามัยที่ทำจากสารสังเคราะห์ เช่น Polyurethane, Nitrile มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดประมาณ 15% ส่วนใหญ่จะเป็นถุงยางอนามัยของผู้หญิงที่จะทำจากสารประเภทนี้ ข้อดีคือ ไม่ทำแพ้และระคายเคืองง่าย สามารถใช้กับสารหล่อลื่นทุกชนิดได้เช่นกันกับถุงยางอนามัยที่ทำจากเยื่อธรรมชาติ แต่มีอายุการใช้งานที่นานกว่า นอกจากช่วยคุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังป้องกันเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดี คล้ายถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา ข้อเสียคือ เวลาเสียดสีมักมีเสียงดัง
ส่วนอาการแพ้ถุงยางอนามัยเกิดได้จากสองสาเหตุหลักๆ คือ
- อาการแพ้สารเคลือบถุงยางอนามัย เช่น สารหล่อลื่นต่างๆ หากแพ้สารเคลือบ การเปลี่ยนยี่ห้อถุงยางอนามัยก็อาจจะทำให้อาการแพ้หายไปได้
- อาการแพ้ยางพารา ในแรกเริ่มมักจะมีอาการคัน เจ็บ แสบ เป็นผื่นคล้ายลมพิษ หรือผื่นแดงหนาบริเวณผิวที่สัมผัสถุงยางอนามัย หากเป็นรุนแรง (ซึ่งพบได้น้อยมาก) ในบางคนจะมีอาการหายใจไม่ออก หลอดลมหดเกร็ง จนถึงขั้นเป็นลม หน้ามืด หรือชักได้
หากสงสัยว่าคุณเกิดอาการแพ้ถุงยางอนามัย ถ้าเป็นไม่มาก ให้รับประทานยาแก้แพ้ หรือทายาแต่หากนานวันไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์ทางด้านผิวหนังหรือแพทย์เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะส่วนใหญ่ของคนที่มีอาการแสบๆ คันๆ ที่อวัยวะเพศหลังจากใช้ถุงยางอนามัยอาจไม่ใช่อาการแพ้ถุงยางอนามัย แต่คือการติดเชื้อรา เชื้อเริม หรือติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่กำเริบ หรืออาการรุนแรงขึ้น หลังจากโดนเสียดสีได้
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
มาเป็นคนแรกที่ VOTE ให้กระทู้นี้
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ


Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด




