ทุ้มเทแบบนี้ซิ!! "ผมพร้อมจะสละสัญชาติเกาหลี".. โค้ชเชนี่ เราควรเอาสัญชาติไทยผูกโบว์ใส่กล่องให้เขาได้ละ

 

ยาวนิด...อ่านแล้วยิ่งรู้สึกว่า แบบโค้ชเชนี่ เราควรเอาสัญชาติไทยผูกโบว์ใส่กล่องให้เขาได้ละ แบบเนี้ยน่าดูดมาเป็นคนไทยกันเยอะๆ

มกราคม 2002 วงการเทควันโด้ของไทย ยังไม่ได้รับความนิยมเหมือนทุกวันนี้...Drama-addict ได้แชร์โพสต์ในเพจ วิเคราะห์บอลจริงจัง

 

*-------------------------------------------------

ณ ตอนนั้น คนทั้งประเทศ น้อยคนมากจะรู้จักว่า กีฬาเทควันโด้คืออะไร เล่นอย่างไร สนุกตรงไหน ขณะที่อันดับโลกของนักกีฬาไทย ก็อยู่อันดับร้อยกว่าๆ ในเอเชียนเกมส์ไม่เคยได้เหรียญทองสักครั้ง ส่วนโอลิมปิกอย่าไปหวัง ไม่มีลุ้นเหรียญอะไรทั้งสิ้น

นั่นทำให้สมาคมเทควันโด้แห่งประเทศไทย ส่งคำขอไปที่ สหพันธ์เทควันโด้โลก ให้ช่วยส่งโค้ชฝีมือดีเข้ามาอบรม และให้ความรู้กับนักกีฬา จุดประสงค์เพื่อให้กีฬาชนิดนี้ ได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาบ้าง ในประเทศไทย

ในขณะนั้น ชเว ย็อง ซ็อก ผู้ฝึกสอนวัย 27 ชาวเกาหลีใต้ หมดสัญญากับการคุมทีมชาติบาห์เรนพอดี เขาได้รับข้อเสนอจากไทย ในตอนแรก เจ้าตัวปฏิเสธ เพราะคุณแม่เพิ่งเสียชีวิต และรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอก

อย่างไรก็ตาม หลังจากทบทวนอย่างละเอียดอีกครั้ง ชเว ย็อง ซ็อก ก็ตอบตกลง เพราะอยู่ในเกาหลีต่อไป ก็มีแต่จะจมอยู่กับความเสียใจเรื่องคุณแม่ ดังนั้นจึงขอออกไปหาความท้าทายใหม่ๆที่ต่างแดนดีกว่า

1 กุมภาพันธ์ 2002 ชเว ย็อง ซ็อก เซ็นสัญญาระยะสั้น 8 เดือน เป้าหมายคือทำผลงานในเอเชียนเกมส์ ที่ปูซานให้ไทย มีเหรียญให้ได้

ว่ากันตรงๆ เขาเองตอนนั้น ก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่ที่ไทยนานหรอก

อาหารก็รสชาติแปลก ปรับตัวไม่ได้ อากาศก็ร้อนกว่าเกาหลีมาก

ภาษาก็พูดยาก อะไรๆก็ยาก ทุกอย่างลำบากไปหมดจริงๆ

--------------------------------------------

การมาของ ชเว ย็อง ซ็อก เปลี่ยนแปลงวงการเทควันโด้ไทยไปตลอดกาล

สาเหตุหลักเพราะเขาเป็นคนที่จริงจังกับการฝึกซ้อมมาก

เขาเล่าให้ฟังว่าที่เกาหลี การซ้อมเทควันโด้นั้นจริงจัง เหมือนการซ้อมทหาร คือถ้าคุณคิดจะเป็นนักกีฬา คุณจะเหยาะแหยะได้อย่างไร มันก็ต้องจริงจังเต็มที่ ต้องใส่ความตั้งใจให้มากที่สุด

ความจริงจังของเขา ได้ถูกถ่ายทอดมาที่นักกีฬา ทุกคนที่ได้ซ้อมร่วมกับชเว ย็อง ซ็อก จะรู้ว่าเขาเป็นคนซ้อมหนักมาก โหด และเขี้ยว แต่ก็แฝงด้วยความเมตตากับศิษย์เสมอ

เวลาผ่านไป มันกลายเป็นว่า 3 องค์ประกอบของเทควันโด้ไทย มันลงตัวพอดี

นักกีฬา - มีพรสวรรค์เป็นพื้นฐาน คนไทยมีความคล่องตัว เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หลายคนเก่ง แต่ขาดการฝึกที่ถูกต้อง

โค้ช - ชเว ย็อง ซ็อก เอาทุกสิ่งที่เขารู้ในฐานะนักเทควันโด้จากชาติต้นตำรับ มาถ่ายทอดให้กับเด็กๆ จัดระบบการซ้อมให้มีมาตรฐาน

สมาคม - สมาคมเทควันโด้ ได้รับการยกย่องมาตลอดว่าดูแลบุคลากรได้อย่างยอดเยี่ยม

พอทุกอย่างคลิก กลายเป็นว่า ผลงานของเทควันโด้ไทย ก้าวกระโดดอย่างน่าตกใจ

และมาโด่งดังถึงขีดสุด ในโอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่เอเธนส์ เมื่อ "วิว" เยาวภา บุรพลชัย คว้าเหรียญทองแดงได้สำเร็จ

 

ก่อนหน้านี้ ไทยเคยได้เหรียญในโอลิมปิกจากแค่ 2 ชนิดกีฬา คือมวย กับ ยกน้ำหนัก แต่เทควันโด้ ยกระดับจนไปถึงเหรียญโอลิมปิกได้

นี่คือความสำเร็จที่น่าเหลือเชื่อ และแน่นอน ชเว ย็อง ซ็อก มีส่วนสำคัญกับความสำเร็จนี้

--------------------------------------------

ผลงานอันยอดเยี่ยม ทำให้แฟนๆกีฬาชื่นชม ชเว ย็อง ซ็อก ว่าความจริงจังของเขา สามารถเปลี่ยนแปลงวงการเทควันโด้ไทยได้จริงๆ

ขณะที่ความสัมพันธ์ของเขากับลูกศิษย์ก็ผูกพันกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิม คือชเว ย็อง ซ็อก ทุกคนก็เรียกเขาสั้นๆ เหลือแค่ "โค้ชเช" เพียงเท่านั้น

จากวันแรก ในปี 2002 จนถึงปัจจุบัน โค้ชเช ช่วยให้ไทยได้เหรียญโอลิมปิก ถึง 5 เหรียญ

เป้าหมายเดียวที่ โค้ชเช และคนไทย รอวันจะไปให้ถึง คือเหรียญทอง ซึ่งก็คาดว่าอีกไม่นานนัก เราก็จะทำได้

จนถึงวันนี้ โค้ชเช อยู่ไทยมาแล้ว 16 ปี

เขาพูดไทยได้ ฟังรู้เรื่อง และได้รับความนับถือยกย่องที่ประเทศไทย ดังนั้น จึงได้เวลาแล้ว ที่เขาจะตัดสินใจเรื่องของสัญชาติตัวเองให้เด็ดขาดเสียที

--------------------------------------------

เราคงเคยได้ยินกันมาบ้าง กับประเด็นเรื่องการขอสัญชาติของโค้ชเช

เรื่องราวยืดเยื้อกันมาหลายปี จนเคยมีข่าวดราม่าว่า โค้ชเช น้อยอกน้อยใจ เตรียมจะอำลาตำแหน่งโค้ชทีมชาติมาแล้ว

จนเกิดคำถามว่า โค้ชเช ก็อยู่ไทยมานานขนาดนี้ สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติก็มาก ทำไมยังไม่ได้สัญชาติเสียทีล่ะ?

จริงๆเรื่องนี้ ต้องดูข้อกฎหมายของไทยก่อน เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น

พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 10 มีระบุไว้ว่า

"ผู้ยื่นคำขอสัญชาติไทย ต้องแสดงเจตนา ที่จะสละสัญชาติเดิม เมื่อได้รับอนุญาตให้แปลงเป็นสัญชาติไทยแล้ว"

และในมาตรา 19 ระบุไว้ว่า

"รัฐมนตรีมีอำนาจถอนสัญชาติไทยได้ทันที ถ้าพบหลักฐานว่า ผู้แปลงสัญชาติ ยังคงเลือกใช้สัญชาติเดิม"

นั่นหมายความว่า ทางการไทย "ไม่ได้ห้าม" ให้โค้ชเช แปลงสัญชาติเป็นไทย

ตรงกันข้ามกันเลย เรายินดีมากๆด้วยซ้ำ ถ้าคนต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถ อยากจะกลายมาเป็นคนไทย

แต่ด้วยเงื่อนไขของการขอสัญชาติ นั่นแปลว่า โค้ชเช จำเป็นต้องสละสัญชาติเกาหลีใต้ของตัวเองเสียก่อน

สำหรับบุคคลทั่วไป อาจมีการแอบถือพาสปอร์ต 2 เล่ม คือในทางปฏิบัติมันพอทำได้ แต่กับคนมีชื่อเสียงอย่างชเว ย็อง ซ็อก ที่คนจับตามองทั้งประเทศ มันเป็นไปไม่ได้เลย

ดังนั้นคำถามสำคัญที่สุดตอนนี้คือ ระหว่างสัญชาติเกาหลีใต้ กับ สัญชาติไทย เขาจะเลือกอะไร?

--------------------------------------------

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน โนห์ กวาง อิล เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ได้เข้าไปพูดคุยกับ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย โดยมีวาระสำคัญคือ การขอสัญชาติที่ 2 ให้กับโค้ชเช

แต่แน่นอน การพูดคุยครั้งนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะกฎหมายไทยระบุชัดอยู่แล้ว และ โค้ชเช ก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือใคร เขาถือ 2 สัญชาติไม่ได้

ดังนั้นตัวโค้ชเชจึงต้องมาหักลบเหตุผล พิจารณาข้อดีข้อเสีย ว่าการถือสัญชาติไหน จะตอบโจทย์ชีวิตเขามากกว่ากัน

การถือสัญชาติเกาหลีใต้ ก็จะได้รับสิทธิพลเมืองของคนเกาหลีใต้แบบเต็มร้อย

พาสปอร์ตเกาหลีใต้ สามารถเดินทางได้ 187 ประเทศ โดยไม่ต้องขอวีซ่า (พาสปอร์ตไทย ไปได้ 57 ประเทศ)

นอกจากนั้น ในตระกูลของชเว ย็อง ซ็อก มีเขาเป็นผู้ชายคนสุดท้าย นั่นแปลว่า ถ้าเขาสละสัญชาติ ตระกูลชเว ก็จะขาดตอนทันที

อีกอย่างโค้ชเช ก็เคยมีแผนว่าบั้นปลายชีวิตอยากจะไปอยู่ที่เกาหลีใต้

นั่นทำให้เขาไม่อยากจะสละสัญชาติเกาหลีใต้ คือมันก็ทำใจยากนะ ถ้าต้องให้เราละทิ้งความเป็นพลเมืองของชาติบ้านเกิดตัวเองไป

แต่สำหรับเขา การถือสัญชาติไทย ก็มีความจำเป็นเช่นกัน

โดยเฉพาะการจะประกอบธุรกิจ หรือซื้อที่ดินต่างๆ โค้เชไม่สามารถทำได้ในฐานะคนต่างด้าว เช่นเดียวกับการขึ้นเป็นสภากรรมการของสมาคมฯ ก็ระบุไว้ว่า ต้องเป็นคนสัญชาติไทยเท่านั้น

นั่นแปลว่า ถ้าโค้ชเช ไม่มีสัญชาติไทย เขาก็จะเป็นได้แค่ผู้ฝึกสอนตลอดไปไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้แล้ว และจะคิดทำธุรกิจอะไรในประเทศไทยก็ยากไปหมด

การถือสัญชาติเกาหลีใต้ หรือไทย ก็ต่างมีประโยชน์ และตอบโจทย์คนละแบบ

แต่ปัญหาคือ ในชีวิตก็แบบนี้ คุณไม่สามารถได้อะไรทุกอย่างที่ต้องการ เมื่อได้อย่าง ก็จำเป็นต้องเสียอย่าง

อยู่ที่ตัวเขาเองนั่นล่ะ ว่าจะเลือก "ได้อะไร" และจะเลือก "เสียอะไร"

--------------------------------------------

หลังจบเอเชียนเกมส์ 2018 โค้ชเช ได้ประกาศจุดยืนอีกครั้ง ว่าเขาพร้อมแล้ว

"ผมพร้อมจะสละสัญชาติเกาหลี" โค้ชเชเผย

"ครอบครัวของผมก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว ทำให้รักและผูกพันกับเมืองไทย รักคนไทยและกีฬาเทควันโดของไทยมากเช่นกัน จึงอยากอยู่เมืองไทยตลอดไป"

16 ปีที่อยู่บนแผ่นดินสยาม มันทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

คือการจะละทิ้งสัญชาติของตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก

ลองคิดดูว่า ถ้าเราต้องสละสัญชาติไทย มันหมายถึงว่า ทางกฎหมายเราจะไม่ใช่คนไทยอีกแล้ว เชื้อชาติใช่ แต่สัญชาติไม่ใช่

ซึ่งแน่นอน มันไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกด้วย

สำหรับ โค้ชเช หลังจากหักลบทุกอย่าง อย่างถี่ถ้วน เขาสามารถตอบหัวใจตัวเองได้อย่างแน่ชัด

เขาอยากเป็นคนไทย อยากจะถือสัญชาติไทย อยากให้ลูกเติบโตขึ้นมาในฐานะคนไทย

สิทธิพลเมืองต่างๆของเกาหลีใต้ เขาตัดสินใจยอมทิ้งทุกอย่าง

ดังนั้นสำหรับเราพลเมืองไทย คงสามารถพูดได้เพียงคำเดียวว่า

"ยินดีต้อนรับนะครับ โค้ชเช"

#CoachChoi