ทำอย่างไรเมื่อตร. ยัดยา!?
เฟซบุ๊กแฟนเพน นักกอดหมอนออนไลน์ เพจเกี่ยวกับให้ความรู้กฏหมาย ได้โพสท์ให้ความรู้ว่าควร ทำอย่างไรเมื่อโดนตำรวจบางคน ยัดยา!? โดยโพสท์ระบุว่า หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ตำรวจยัดยา”บางคนอาจเคยประสบมาด้วยตัวเอง การยัดยาเป็นวิธีการที่ทั้งผิดกฎหมาย ผิดหลักคุณธรรม มองมุมไหนก็เรียกได้ว่า “โคตรชั่ว”
ตำรวจดีๆส่วนใหญ่เค้าไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอก มีแต่พวกจัญไรไม่กี่คนที่คิดว่า “อยากหาโอกาสควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัย” แต่ไร้พยานหลักฐานที่จะไปขอศาลออกหมายจับ ป.วิ.อาญา จะหาความผิดอะไรซึ่งหน้าก็ไม่มี อย่ากระนั้นเลย ใช้ตัวช่วยแล้วควบคุมตัวไปคุยกันต่อที่โรงพักน่าจะสะดวกกว่า “เลยยัดยาซะแม่ม”
พิจารณาเอาละกันว่า การใช้วิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อำนวยความสะดวกในการทำงาน มันเป็นวิธีของตำรวจหรือโจร?
ส่วนใครที่ดวงซวยเจอตำรวจยัดยาแล้วพาไปโรงพัก ควรทำไง?
ก่อนอื่นเลย ใช้สิทธิ์เรียกบุคคลที่เราไว้วางใจ หรือร้องขอทนายความ เข้าร่วมรับฟังการสอบสวน อย่าจับยา หรือซองยาโดยเด็ดขาด ไม่ต้องจำยอมหยิบขึ้นมาให้ถ่ายรูปตามคำสั่งเจ้าพนักงานอะไรทั้งสิ้น ลงชื่อรับทราบข้อกล่าวหาได้ แต่อย่ารับสารภาพในข้อหาที่ไม่ได้ทำ
ให้การในชั้นสอบสวนตามจริงว่าไม่ได้ทำอย่างไร หรือทราบว่าใครเป็นผู้นำมาใส่ในตัวเราก็ระบุไปเลยและเตรียมหลักทรัพย์หรือบุคคลเพื่อเป็นหลักประกันในการยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว
ที่เหลือก็สืบหาหลักฐานสู้คดีไปครับ
ส่วนตำรวจที่ยัดยา มีความผิดอย่างไรบ้าง??
มีครับสัส เยอะด้วย
ตั้งแต่เริ่มยัดยาก็ถือความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , กระทำการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษ ตามมาตรา 200
พอจับผู้ต้องสงสัยมาให้พนักงานสอบสวน ชุดจับกุมก็ต้องทำรายงาน พยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัย ซึ่งจะเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 162,172,173,174 และ 179 แตกต่างกันไปตามที่กระทำและถือเป็นความผิดคนละกรรมกับที่ทำไปในชั้นจับกุม ซึ่งทำให้ข้อหาที่ฟ้องและการพิจารณาโทษบวกเพิ่มไปจากความผิดก่อนหน้านี้
ในชั้นพิจารณาคดี เมื่อตำรวจชุดจับกุมไปเบิกความต่อศาล ก็ย่อมเบิกความอันเป็นเท็จ และแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ตามมาตรา 177 และ 180 ซึ่งเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีความผิดฐานร่วมกันครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 65 อีกกระทงหนึ่งด้วย ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะตำรวจที่ลงมือยัดยาเท่านั้น แต่ถือว่าตำรวจทุกนายในชุดจับกุมที่รู้เห็นเรื่องนี้ มีเจตนาร่วมกันในการครอบครอง และจะอ้างไม่ได้ว่าครอบครองไว้เพื่อการทำงาน เพราะมิใช่เรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย
จิ้มเครื่องคิดเลขดูคร่าวๆ โดนคนละหลายปีแน่นอนครับ ไม่คุ้มกันหรอกที่จะใช้วิธีสกปรกแบบนี้ “เพื่อทำผลงานให้นาย” ที่เค้าสั่งพวกเอ็งโดยวาจา
สุดท้ายเมื่อเป็นเรื่องขึ้นมา พวกเอ็งรับผิด ติดคุก หมดอิสรภาพ หมดอนาคต เมียมีผัวใหม่ ลูกติดยา
ส่วนนายเอ็งไปตีกอล์ฟสบายใจเฉิบ
//@แอดแมว//
ปล. เรื่องการตรวจค้นโดยมิชอบ ไว้ค่อยหาโอกาสเล่าสู่กันฟังนะ เพราะแค่นี้ก็ยาวชิบหายละ
------------------------------------------
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
------------------------------------------
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 162 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการดังต่อไปนี้ในการปฏิบัติการ ตามหน้าที่
(1) รับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่า การอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ
(2) รับรองเป็นหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งซึ่งข้อความอันมิได้มี การแจ้ง
(3) ละเว้นไม่จดข้อความซึ่งตนมีหน้าที่ต้องรับจด หรือจด เปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้น หรือ
(4) รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ ความจริงอันเป็นความเท็จ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
มาตรา 172 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา แก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มี อำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 173 ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อ ความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดี อาญาว่าได้มีการกระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
มาตรา 174 ถ้าการแจ้งข้อความตาม มาตรา 172 หรือ มาตรา 173 เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อ ความปลอดภัย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับ ไม่เกินหกพันบาท
ถ้าการแจ้งตามความในวรรคแรกเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใด ต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา 177 ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณา คดีอาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นสี่พันบาท
มาตรา 179 ผู้ใดทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงาน สอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเชื่อว่า ได้มีความ ผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรง กว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่ เกินสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 180 ผู้ใดนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จใน การพิจารณาคดี ถ้าเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดีนั้นต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณาคดี อาญาผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นสี่พันบาท
มาตรา 200 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการ อย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันการมิชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใด มิให้ต้องโทษหรือให้รับโทษน้อยลงต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ถ้าการกระทำหรือไม่กระทำนั้นเป็นการเพื่อ จะแกล้งให้บุคคลหนึ่ง บุคคลใดต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือต้องถูกบังคับตามวิธีการ เพื่อความปลอดภัยผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือ จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
มาตรา 65 ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 15 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท