[เรื่องสยองขวัญ] รับน้องสยองขวัญ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณป๊อก คุณป๊อกเล่าว่า.. ผมสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และพอช่วงเทอมแรก ก็จะมีรับน้องของคณะ ผมอยู่คณะนิเทศครับ โดยครั้งนั้นรุ่นพี่ และอาจารย์ จัดทริปไปเที่ยวที่เกาะแห่งหนึ่ง ทางภาคตะวันออกนี่เอง ช่วงนั้น ทุกคนก็ยังไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย..
วันออกเดินทางคือเช้าวันศุกร์ เดินทางไปถึงท่าเรือก็เที่ยง และก็ต้องต่อเรือไปอีก จนถึงเกาะ ที่พักของเราค่อนข้างเป็นส่วนตัว เรียกได้ว่าเหมาเกือบหมดทุกบังกะโล ของรีสอร์ทนั้นเลย พอถึงที่พัก ก็จะแบ่งกลุ่มกัน หลังละ 4 คน ที่นอนจะเป็นแบบปูพื้น นอนเรียงกันเป็นแถว 4 คนครับ.. พอเก็บข้าวของเสร็จ พวกอาจารย์ และรุ่นพี่ ก็นัดไปที่หาด และก็เริ่มกิจกรรมกัน จะเป็นกิจกรรมเพื่อความสามัคคีทั่วไป ตลอดทั้งบ่าย.. พอหลังอาหารเย็น ช่วงกลางคืน จะมีกิจกรรมวัดความกล้าครับ ผมก็พอจะเคยได้ยินมาบ้าง.. โดยรุ่นพี่จะแบ่งกลุ่มพวกเรา เป็นกลุ่มละประมาณ 15 คน ต่อรุ่นพี่ 1 คน พาเดินขึ้นไปบนเขา และก็เข้าป่าครับ เดินไปลึกเลย จนไปถึงลานที่เป็นพื้นทราย แต่รอบๆ ก็เป็นป่า ตอนกลางวันมันคงไม่เป็นไร แต่กลางคืนนี่มันทั้งเงียบ ทั้งมืด และก็เย็นๆ ยังไงบอกไม่ถูก
กิจกรรมนี้คือ ให้พวกน้องใหม่จุดเทียน นั่งล้อมเป็นวงกลม และหลับตาทำสมาธิ โดยรุ่นพี่จะนั่งอยู่ตรงกลาง พร้อมกับจุดธูปไว้ 1 ดอก และก็เล่าเรื่องผีครับ โดยที่ห้ามให้ใครลืมตา จนกว่าธูปจะหมดดอก และถ้าจับได้ว่ามีคนลืมตา แม้แต่คนเดียว จะต้องเริ่มจุดธูปเล่มใหม่ ดังนั้นแน่นอนว่า ไม่มีใครอยากลืมตาแน่ๆ ระหว่างที่ผมนั่งฟังรุ่นพี่เล่าเรื่องผีไป สักพัก ผมรู้สึกได้ยินเหมือนเป็นเสียงเดิน (บนพื้นทราย เวลามีเดินก็จะมีเสียงครับ) ไม่น่าใช่รุ่นพี่คนนี้ครับ เพราะเสียงมันมาจากด้านหลัง เหมือนเดินวนไปมารอบๆ วงที่เรานั่งกัน ตอนนั้นผมก็ไม่กล้าลืมตา กลัวจะต้องเริ่มใหม่ แต่ผมก็คิดในแง่ดีว่า คงจะเป็นรุ่นพี่คนอื่น แอบตามมาแกล้งให้กลัวรึเปล่า.. ผ่านไปน่าจะประมาณไม่ถึง 10 นาที โอ เพื่อนผมที่อยู่ข้างๆ ร้องลั่นขึ้นมาเลยครับ ทุกคนตกใจลืมตา หันหลังไปมองกันหมด รุ่นพี่ถามว่ามีอะไร ร้องทำไม? โอ เพื่อนผมบอกว่า ‘เมื่อกี้ มีมือมาจับที่ท้ายทอยผม มือเย็นยะเยือกเลย!’ ตอนนั้นทั้งรุ่นพี่ และทุกคนต่างตกใจกลัวกันหมด สุดท้าย ก็แยกย้ายกันลงจากเขาทันที
พอกลับมาถึงที่พัก โอ ซึ่งก็นอนห้องเดียวกับผมนี่ล่ะ มันก็บอกว่าเมื่อกี้มันแกล้ง จะได้ลงมาเร็วๆ แล้วมันก็หัวเราะใหญ่.. จนคืนนั้น ก็นอนหลับเรียงกัน 4 คน โดยผมจะนอนในสุดฝั่งติดหน้าต่าง ถัดมาเป็นโอ กลางดึกผมลุกมาเข้าห้องน้ำ (เป็นห้องน้ำในตัว ติดกับประตูเข้าห้อง) ตอนนั้นจำได้ว่าท้องเสียครับ ระหว่างทำธุระ กดเล่นมือถือไป ก็ได้ยินเสียงประตูห้องครับ ดัง ‘กึกกั่ก.. กึกกั่ก..’ ก็ไม่ได้คิดอะไร คงเป็นลมตีเข้ามา พอทำธุระเสร็จ เปิดประตูห้องน้ำออกมา ยังไม่ทันปิดไฟห้องน้ำ สายตาผมมองไปที่ ที่นอน แล้วรู้สึกแปลกๆ เลยลองนับเท้าดู 1 2 3 4 … 7 8 เท้า! มีเท้าเพิ่มขึ้นมา จากตรงผ้าห่มของโอ! ตอนนั้นไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ ครับ มองแล้ว มองอีก ยังไงก็มีเท้าเกิน.. ผมเดินเข้าไปปลุกเพื่อน คนที่อยู่ใกล้ห้องน้ำที่สุด มันก็งัวเงียลุกขึ้นมา ผมชี้ให้มันมองไปที่เพื่อนคนนั้น จังหวะนั้นเอง สิ่งที่ผม กับเพื่อนเห็นคือ เงาดำๆ เป็นร่างคน ลุกขึ้นมาจากที่นอนตรงนั้น และก็เดินหายไปทางหน้าต่าง! ผมกับเพื่อนได้แต่มองหน้ากัน ตัวแข็งทื่อ และคืนนั้น ผมนอนตรงนั้นยาวเลย ไม่กล้ากลับไปนอนที่เดิม
เช้าวันต่อมา ตอนไปกินอาหารเช้า พวกผม 4 คนก็ไปนั่งโต๊ะใหญ่ แต่สิ่งที่แปลกคือพนักงาน กลับเสิร์ฟจาน และช้อนส้อมให้ 5 ชุด โดยชุดที่ 5 วางไว้ที่ข้างๆ โอ.. ผม กับเพื่อนที่เห็นเมื่อคืน ชักใจไม่ดีแล้ว เลยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้โอฟัง.. สังเกตุได้ทันทีเลยว่า โอสีหน้าเปลี่ยนไป โอบอกพวกผมสั้นๆ ว่า ‘ชัดเลย กูโดนแล้ว..’ และเล่าต่อว่า เมื่อคืนมันแทบไม่ได้นอนเลย ตอนกลางดึก มันรู้ด้วยว่าผมลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่มันขยับตัวไม่ได้ เหมือนมีคนมาบีบคออยู่ ได้แต่ลืมตา แต่พอลืมตา ก็เห็นรางๆ เป็นร่างผู้ชายผิวคล้ำ ตาแดงก่ำ คล่อมอยู่ จ้องมองด้วยสายตาเคียดแค้น.. ได้ฟังอย่างนั้น พวกผมนี่ขนลุกชูชันเลยครับ..
สุดท้ายจนกลับกรุงเทพฯ ก็เหมือนจะยังตามมาอีก เพราะยังมีเหตุการณ์บ้าง ที่เวลากินข้าว แล้วจะได้ชุดจานช้อนส้อมเกิน.. จนโอมันต้องไปเข้าวัด ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้เหล่าสัมพเวสี อยู่นานกว่าจะกลับเป็นปกติ..