อนาคตกฏหมายอิสลามในประเทศไทย
การศึกษาอนาคตกฎหมายอิสลามในประเทศไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักกฎหมายอิสลามเบื้องต้น พัฒนาการการใช้กฎหมายอิสลามในประเทศไทยโดยเฉพาะกฎหมายว่าด้วยครอบครัวและมรดก และปัญหาการใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกเพื่อกำหนดการใช้กฎหมายอิสลามในอนาคตของประเทศไทย
การศึกษาในครั้งนี้เป็นผลมาจากการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) ประกอบกับการเก็บรวบรวมข้อมูลจากอบรมสัมมนา การสัมภาษณ์ในพื้นที่กลุ่มตัวอย่าง
สำหรับการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) มาจากแหล่งข้อมูล 2 แหล่งด้วยกัน ได้แก่ เอกสารขั้นปฐมภูมิ ทั้งคัมภีร์อัลกุรอาน และวัจนะศาสดาและเอกสารขั้นทุติยภูมิ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ เอกสาร สื่ออิเล็กโทรนิคที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกฎหมายอิสลามและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ส่วนการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นมาจากอบรมสัมมนา การสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลจนได้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอนาคตกฎหมายอิสลามในประเทศไทย
ผลการศึกษาพบว่า
1. กฎหมายอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของมุสลิมที่มุสลิมจะต้องปฏิบัติตามโดยมีแหล่งที่มาหลักจากคัมภีร์อัลกุรอานและวัจนะศาสดาในขณะเดียวกันมีพัฒนาการการใช้กฎหมายแต่ละยุค แต่ละสมัยที่แตกต่างกันเพื่อปรับปรนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมแต่อยู่บนพื้นฐานของแหล่งที่มาของกฎหมายอิสลาม
2. ประเทศไทยได้มีพัฒนาการการใช้กฎหมายอิสลามสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบันมีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 แต่ก็ยังประสบปัญหาหลายประการในการนำมาปฏิบัติ
3. อนาคตการใช้กฎหมายอิสลามในประเทศไทยมีดังต่อไปนี้
3. 1 คนมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่สนับสนุนแต่คนพุทธมีความกังวล
3.2 รัฐบาลและหน่วยงานราชการจัดเวทีเพื่อหาทางออกในการใช้กฎหมายอิสลาม
3.3 นักวิชาการสนับสนุนการจัดตั้งศาลชารีอะห์เพื่อความสมบูรณ์ในการใช้กฎหมายแต่รัฐบาลปฏิเสธ
3.4 ควรนำบทเรียนการใช้กฎหมายอิสลามในต่างประเทศปรับใช้ในประเทศไทยอย่างเหมาะสม
ปัญหาและข้อเสนอแนะ
จากสภาพปัญหาการใช้กฎหมายอิสลามลักษณะครอบครัวและมรดกในประเทศไทย รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องควรดำเนินการดังนี้
(1) ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 เพราะกฎหมายฉบับนี้เมื่อนำสู่ปฏิบัติจะพบปัญหาดังนี้
1.1 ในการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นต้องมีดะโต๊ะยุติธรรมพิจารณาคดีพร้อมด้วย ผู้พิพากษาโดยดะโต๊ะยุติธรรมทำหน้าที่วินิจฉัยในหลักของกฎหมายอิสลามส่วนข้อเท็จจริง หรือปัญหา ข้อกฎหมายอื่น อำนาจการวินิจฉัย และ การพิพากษาเป็นอำนาจของผู้พิพากษา
1.2 การนำหลักกฎหมายอิสลามมาวินิจฉัย เป็นการใช้กฎหมายอิสลามเฉพาะการตัดสินคดีในศาลไม่มีสภาพบังคับนอกศาล ขณะเดียวกันคู่กรณีสามารถเลือกใช้กฎหมายได้ทำให้เกิดความลักลั่นและไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนมุสลิม และทำให้เกิดความแตกต่างในการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่
1.3 คำวินิจฉัยชี้ขาด ของดะโต๊ะยุติธรรมในข้อกฎหมายอิสลามให้เป็นเด็ดขาดคดีนั้นไม่สามารถอุทธรณ์ หรือฏีกาได้ ทำให้คู่กรณีเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมเพราะหากมีข้อผิดพลาดก็ไม่สามารถ อุทธรณ์ หรือ ฏีกาได้
1.4 ปัญหาเรื่องอายุความในเรื่องมรดกยังมีความลักลั่น เพราะการบังคับมรดกใช้ อายุความในเรื่องมรดก 1 ปีความในประมวลแพ่งและพาณิชย์ ไม่ตรงกับอายุความมรดกของหลักกฎหมายอิสลาม
1.5 ปัญหาเรื่องจำเลยที่เป็นชายไทยมุสลิมย้ายภูมิลำเนาออกนอกเขตพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่สามารถนำกฎหมายอิสลามไปบังคับใช้ได้ เพราะเมื่อหากคู่กรณีหากย้ายออกนอกเขตการบังคับใช้ พ.ร.บ. ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกกลัวศาลไม่สามารถบังคับคู่ กรณีออกนอกเขตอำนาจศาลได้
1.6 อันเนื่องมาจากมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือทั่วประเทศปัจจุบันมีทั้งนิกายซุนนีย์และชีอะห์ หรือยึดถือมัซฮับแตกต่างกันและไม่นับถือมัซฮับซึ่งกฎหมายว่าด้วยครอบครัวและมรดกบางประเด็นมีทัศนะที่แตกต่างกันอาจนำไปสู่การไม่ยอมรับกฎหมายฉบับปัจจุบันและเกิดปัญหาสังคมขึ้นได้ดังนั้นการปรับปรุงกฎหมายควรคำนึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย
1.7 ปัจจุบันมีการแต่งงานระหว่างมุสลิมชาวไทยและต่างประเทศจำนวนมากโดยเฉพาะกับชาวมาเลเซียในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยมีปัญหาฟ้องร้องกับประเทศมาเลเซียจำนวนมาก ดังนั้นการปรับปรุงกฎหมายอิสลามดังกล่าวควรคำนึงประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน
(2) จัดทำประมวลวิธีพิจารณาความ และกฎหมายลักษณะพยานขึ้นเฉพาะ เพราะการใช้กฎหมายอิสลามลักษณะครอบครัวและมรดกในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล ในการพิจารณาคดีได้ใช้กฎหมายวิธีพิจาณาความแพ่ง และกฎหมายลักษณะพยาน ซึ่งถือได้ว่าไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายอิสลาม ปัญหานี้คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ได้เสนอว่า ให้จัดทำกฎหมายอิสลามที่เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดกที่ครอบคลุมถึงกฎหมายวิธีพิจารณาความ การอุทธรณ์ ฎีกาและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขัดกันของกฎหมายอย่างชัดเจน ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงศาลที่มีลักษณะเช่นนี้ในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา เป็นต้น[1]
(3) หากจะมีการขยายการใช้กฎหมายอิสลามลักษณะครอบครัวและมรดกทั่วทุกภูมิภาค ในเบื้องต้นไม่ต้องมีดะโต๊ะยุติธรรม (ผู้วินิจฉัยข้อกฎหมายอิสลาม) ในศาลทุกจังหวัด แต่ให้อยู่ประจำศาลในภูมิภาค เช่นเดียวกับกรณีของศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานภาค ศาลล้มละลายกลาง ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศกลางโดยพิจาณาจากข้อเสนอแนะของประคอง เตกฉัตร อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดยะลา
(4) ออกกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารกฎหมายอิสลามและกิจการที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสลามมารองรับ เพื่อให้การใช้กฎหมายอิสลามมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เช่น พระราชบัญญัติการบริหารกฎหมายอิสลามขึ้นมาแทนพระราชบัญญัติองค์กรบริหารศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ซึ่งกำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน
(5) จัดตั้งสำนักงานทะเบียนอิสลามขึ้นมาทำหน้าที่ด้านทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่าหรือเพิกถอนการหย่า และการเปลี่ยนแปลงศาสนาอิสลาม เพื่อให้การใช้กฎหมายอิสลามลักษณะครอบครัวและมรดกมีความชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลที่เข้าเงื่อนไขที่จะต้องใช้บทบัญญัติของกฎหมายอิสลามลักษณะครอบครัวและมรดกกับบุคคลที่ใช้บทบัญญัติของกฎหมายกฎหมายแพ่ง เพราะในเรื่องของการนับถือศาสนานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งยังมีการสมรสระหว่างผู้ที่นับถือศาสนาต่างกัน (ซึ่งบทบัญญัติของศาสนาอิสลามกำหนดให้ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นมีความศรัทธาในศาสนาอิสลามเสียก่อนจึงจะสมรสกันได้) จึงสมควรจัดตั้งสำนักงานทะเบียนอิสลามเพื่อให้กระบวนการใช้กฎหมายอิสลามทั้งในและนอกศาลให้มีเอกภาพไม่ให้เกิดปัญหากรณีการเปลี่ยนแปลงศาสนา
(6) ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะจากผลการประชุมของผู้ทรงคุณวุฒิในแนวทางการขับเคลื่อนพัฒนาระบบศาลอิสลามที่เหมาะสมกับประเทศไทย