ย้อนยุคเผด็จการครองเมือง จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีชื่อจริงว่า “แปลก” เนื่องจากเมื่อแรกเกิดบิดามารดาเห็นว่าหูทั้งสองข้างอยู่ต่ำกว่านัยน์ตา ผิดไปจากบุคคลธรรมดา จึงให้ชื่อว่า “แปลก” เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญ ได้ใช้ชื่อว่า ป. ซึ่งเป็นตัวอักษรย่อเฉกเช่นชื่อของบุคคลสำคัญหลายคนทางประเทศแถบตะวันตก
จอมพล ป. เป็นหนึ่งในคณะนายทหารผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 โดยเป็นนายทหารปืนใหญ่ รุ่นน้องของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา 2 ปี ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกและเป็นสมาชิกคณะราษฎรยุคก่อตั้งซึ่งมีทั้งหมด 7 คน ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส โดยถือเป็นผู้นำของคณะทหารบกยศชั้นผู้น้อย ต่อมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว จอมพล ป. เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จากเป็นแกนนำในการรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 และเป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสมในการปราบกบฏบวรเดชเมื่อปี พ.ศ. 2476 จนได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา
นับแต่จอมพล ป. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2481 ได้มีนโยบายในการสร้างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลัทธิชาตินิยม เช่น
- ออกกฎหมายคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ
- มีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้เฉพาะคนไทย
- ปลูกฝังให้ประชาชนนิยมใช้สินค้าไทย ด้วยคำขวัญว่า “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ”
รัฐบาลจอมพล ป. ได้เปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับการการเปลี่ยนแปลงการปกครองและให้เกิดความทันสมัย เช่น
- ประกาศให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง เลิกสวมเสื้อราชปะแตน และให้นุ่งกางเกงขายาวแทน
- ยกเลิกบรรดาศักด์และยศข้าราชการพลเรือน
- มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482
- เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยเริ่มเปลี่ยนในปี พ.ศ. 2484 ทำให้ ปี พ.ศ. 2483 มีเพียง 9 เดือน
มีการสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมใหม่ โดยจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2485 เพื่อจัดระเบียบการดำเนินชีวิตของคนไทยให้เป็นแบบอารยประเทศ โดยประกาศรัฐนิยมฉบับต่างๆ อาทิ
- สั่งห้ามประชาชนกินหมากโดยเด็ดขาด
- ให้ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบน เปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงแทน
- ให้สวมหมวก สวมรองเท้า
- ไม่ส่งเสริมศิลปะและดนตรีไทยเดิมแต่ส่งเสริมดนตรีสากล ฯลฯ
- โดยมีคำขวัญในสมัยนั้นว่า “มาลานำไทยสู่มหาอำนาจ” หากผู้หญิงคนใดไม่ใส่หมวกจะถูกตำรวจจับและปรับ
- วางระเบียบการใช้คำแทนชื่อเป็นมาตรฐาน เช่น ฉัน ท่าน เรา
- มีคำสั่งให้ข้าราชการกล่าวคำว่า “สวัสดี” ในโอกาสแรกที่พบกัน
- มีการตัดตัวอักษรที่ออกเสียงซ้ำกัน จึงมีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย เช่น “กระทรวงศึกษาธิการ” เขียนเป็น “กระซวงสึกสาธิการ” เป็นต้น
ในสมัยนั้นรัฐบาลเอาจริงเอาจังเรื่องการแต่งกาย เช่นยกเลิกโจงกระเบนมานุ่งกางเกง (สำหรับผู้ชาย) และผ้าซิ่นหรือกระโปรงสำหรับผู้หญิง ออกจากบ้านต้องสวมหมวก แม้สมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงอยู่ในวังสระปทุมอย่างสงบ จำกัดการติดต่อกับโลกภายนอกไว้น้อยที่สุด เว้นแต่พระราชกรณียกิจเช่นเรื่องสภากาชาดไทยที่ทรงไม่เคยละทิ้ง ยุค “วัธนธัม” ของรัฐบาลจอมพล ป. ก็ยังยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเข้าจนได้ เช่นมีเจ้าหน้าที่ตัวแทนไปเข้าเฝ้า ขอพระราชทานฉายพระบรมฉายาลักษณ์ให้ทรงพระมาลา เพื่อนำไปเผยแพร่ภายนอกว่า สมเด็จฯทรงต้องร่วมมือปฏิบัติตัวตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน
สมเด็จพระพันวัสสาฯ กริ้ว ตรัสตอบว่า “ทุกวันนี้จนจะไม่เป็นตัวของตัวอยู่แล้ว นี่ยังจะมายุ่งกับหัวกับหูอีก ไม่ใส่ อยากจะให้ใส่ก็มาตัดเอาหัวไปตั้ง แล้วใส่เอาเองก็แล้วกัน” แต่ก็ยังไม่จบสิ้นอยู่ดี เมื่อจอมพล ป. ต้องการให้ชื่อของคนไทย ระบุชัดว่าเพศชาย หรือหญิง สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ท่านมีพระนามว่า “สว่างวัฒนา” จอมพล ป. บอกว่าพระนามท่านไม่ชัดเจนว่าเป็นชายหรือหญิง สมัยนั้นรัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนเปลี่ยนชื่อ ผู้ชายมีชื่อฟังรู้ว่าเป็นชาย ผู้หญิงมีชื่อฟังรู้ว่าเป็นหญิงรัฐบาลเกิดเห็นว่าพระนาม “สว่างวัฒนา” สมควรเป็นชื่อผู้ชาย ก็ส่งตัวแทนมาขอให้ทรงเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับ “รัฐนิยม” สมเด็จฯ ทรงกริ้วทันทีเมื่อทรงทราบ ตรัสด้วยความแค้นพระทัยว่า “ชื่อฉัน ทูลหม่อม (หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระราชทาน ท่านทรงทราบดีว่าฉันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”ผลก็คือ ทรงดำรงพระนามไว้ได้ตามเดิมจนกระทั่งหมดยุค ก็ไม่มีใครมาเซ้าซี้ให้เปลี่ยนพระนามอีก (คห. 25: ความขัดแย้งกันระหว่าง จอมพล ป. กับ ในหลวงองค์ปัจจุบัน)
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส จากปัญหาเรื่องการใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างไทยกับอินโดจีน ซึ่งอยู่ในครอบครองฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยฝรั่งเศสไม่ยอมตกลงเรื่องการใช้ร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเมืองนครพนม การรบระหว่างฝรั่งเศสกับไทยจึงเริ่มขึ้น ฝรั่งเศสโจมตีไทยทางอรัญประเทศ รัฐบาล จอมพล ป. ส่งทหารไทยเข้าไปในอินโดจีนทางด้านเขมร แต่ในที่สุดญี่ปุ่นเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ย จนมีการส่งผู้แทนไปลงนามอนุสัญญาโตเกียว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ในครั้งนั้นไทยได้ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงคืน รวมทั้งทางใต้ตรงข้ามปากเซ คือ แขวงจัมปาศักดิ์และดินแดนในเขมรที่เสียให้ฝรั่งเศสไปเมื่อปี พ.ศ. 2450 กลับคืนมาด้วย และในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2484 พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาได้เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงชัยชนะของไทยต่อฝรั่งเศส และหนึ่งปีต่อมา จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2485
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จอมพล ป. ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการประคับประคองประเทศชาติ ให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้หลายประการ ทั้งนี้มีการบอกเล่ากันว่า ท่านขอพระราชทานยศจอมพลให้กับตนเองเพราะท่านต้องการทำสงครามจิตวิทยากับทางกองทัพญี่ปุ่น หลังสงครามโลกสงบแล้ว ท่านต้องติดคุกระหว่างการถูกไต่สวนในฐานะอาชญากรสงครามอยู่ระยะหนึ่งตามพระราชบัญญัติอาชญากรรมสงครามที่รัฐบาลไทยประกาศใช้เป็นกฎหมายหลังสงครามโลก (มีผู้วิเคราะห์ว่า ส่วนหนึ่งเพื่อมิให้ต้องส่งตัวผู้นำรัฐบาลและนายทหารไทยในยุคนั้นไปให้ศาลอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศที่สัมพันธมิตรตั้งขึ้นที่โตเกียวและเนือร์นแบร์กพิพากษาคดี แต่ให้ศาลไทยเป็นผู้พิพากษาแทน ซึ่งเป็นผลดีต่อชีวิตของอาชญากรรมสงครามเหล่านี้ที่เป็นคนไทยที่รอดพ้นจากโทษประหารชีวิตทั้งหมด) อย่างไรก็ดี ศาลไทยได้พิจารณาเห็นว่า “กฎหมายย่อมไม่มีผลย้อนหลัง” จึงปล่อยตัวท่านเป็นอิสระ หลังจากนั้นท่านก็ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด กลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่บ้านที่ อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยปลูกผักต่างๆ เพื่อเลี้ยงชีพ
จอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งหลังพ้นคดี “อาชญากรสงคราม” ระหว่างที่ตนเป็นรัฐบาลในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การหวนคืนอำนาจของจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2491 ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทยโดยมี “พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์” และ “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” ค้ำบัลลังก์เผด็จการให้อย่างสุดๆ ในเวลาต่อมา
แหล่งที่มา: https://www.slideshare.net/Geosw101/503-25544267
https://lonesomebabe.wordpress.com/2014/04/30/ย้อนอดีตยุคเผด็จการครอ/