โลกออนไลน์
วิธีที่ดีที่จะเช็คว่า ..
ใครมีความเป็นมนุษย์อยู่แค่ไหน
คือ ปล่อยให้พูดได้เต็มที่
โดยไม่ต้องเอาหน้าตาตัวตน
ไปรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเอง
การได้พูดอย่างเป็นอิสระเต็มที่นั่นแหละ
คือ วิธีล้วงเอาความคิดทั้งหมด
หรือ ‘ธาตุแท้’ ของคนๆ หนึ่งออกมาแฉ
ซึ่งบางทีถึงขนาดทำให้เจ้าตัวตระหนักว่า ..
แม้รูปร่างหน้าตายังคงเป็นมนุษย์
แต่ความคิดอ่านอาจไม่ใช่แล้ว
อินเตอร์เน็ตเหมือนเขตสนธยา
ที่พาเรามาพบกัน
คุยกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว
ยุคอินเตอร์เน็ตจึงเป็นยุคที่
พวกเราถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง
ให้พูดได้ตามอำเภอใจ
โดยไม่ต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา
ทั้งในกระทู้พันธุ์ทิพย์
ทั้งในเฟสบุ๊ค (ซึ่งปลอมตัวได้)
ทั้งในห้องเกม และอื่นๆ อีกสารพัด
สมัยก่อน พอเห็นต่างทางการเมือง
หรือเจอคนต่างพวกต่างศาสนา
หรือเล่นเกมแพ้แล้วเกิดอารมณ์พาล
คนเราอาจยังต้องยับยั้งชั่งใจ
เก็บสีหน้าสีตา สงวนท่าที
อย่างมากนึกด่าแม่อยู่ในใจ
แต่สมัยนี้ ถ้าอยากด่า ด่าเลย
ขุดกันไปถึงโคตรเหง้ากี่รุ่นก็ได้
ไม่ต้องเกรงใจกันอีกต่อไป
เพราะเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงที่ว่า ..
ด่าเดี๋ยวนั้น ไม่มีทางถูกชกเดี๋ยวนั้น
ทิ่มแทงให้อีกฝ่ายเจ็บใจแค่ไหน
ก็ไม่เห็นเกิดอะไรตามมา ..
#โลกออนไลน์
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ในโลกความเป็นจริงอย่างใหญ่หลวง
เพราะ .. #คนเรา
เมื่อเคยชินกับพฤติกรรมแอบซ่อนมากเข้า
ในที่สุดก็เอามาทำแบบเปิดเผย
เดี๋ยวนี้ผู้คนเก็บอาการกันน้อยลงมาก
ถ้าเกิดทันยุคที่คนพูดจาถนอมน้ำใจกัน
คุณจะตกใจที่เห็นคนยุคนี้
ด่าสาดกันกลางถนน
ทั้งที่ไม่เคยพบเจอ
แล้วก็มีเรื่องกันแค่นิดเดียว
ในทางกลับกัน
คนบางกลุ่ม
อาจถือเป็นโอกาสดี
ที่จะฝึกควบคุมสัตว์ร้ายในตน
เพราะพฤติกรรมในที่ลับนั่นแหละ
กระจกเงาส่องตัวตนที่ดีที่สุด
ถ้าคุยออนไลน์กับคนไม่มีหน้า
แบบที่คุยออกปากกับคนเห็นหน้า
แปลว่า .. ตัวตนของคุณเสมอกันทั้งนอก และใน
แต่ถ้าคุยออนไลน์แย่กว่าตัวจริง
แปลว่า .. ตัวตนของคุณตกต่ำลงกว่าเดิม
แล้วถ้าคุยออนไลน์ดีกว่าตัวจริง
แปลว่า .. ตัวตนของคุณพัฒนาขึ้นสูงกว่าเก่า
ที่เหลือคือ ต้องตั้งคำถามกับตนเอง
เยี่ยงผู้ฝึกมีสติเห็นความจริงในตนว่า ..
ตัวตนจริงๆ อยู่ฝั่งไหนกันแน่
ระหว่างโลกเห็นหน้ากับโลกไม่เห็นหน้า
และตัวตน นั้น
แสดงออกถึงน้ำใจตามมนุษยธรรม
หรือแสดงออกถึงความดุร้าย
ตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนมากกว่ากัน