หุบเขาแสงจันทร์ 2 ปฐมบท..ทะเลแห่งชีวิต
“แต่แม่ใหญ่รอยาจากเราอยู่”
คำอันเป็นเหตุผลของชายหนุ่ม เหมือนต้องการบอกให้คนเป็นน้องรู้ถึงจุดประสงค์ว่า ควรรีบเดินทางกลับให้ถึงเกาะใหญ่โดยเร็ว เพราะมีคนเจ็บป่วยทางโน้นรอการกลับมาของเขาและละมอ
ละมอผู้เป็นน้องสาว เหมือนจะยังเห็นต่างกับคำของพี่ชาย “แต่ถ้าพายุลงแรง เรือของเราจะไปไม่รอดนะพี่”
คำของละมอมีเหตุผล ยิปซีแห่งท้องทะเลอย่างพวกเขา ดูความเป็นไปและทิศทางของลมฟ้าอากาศได้ดี รู้ได้ว่าฝนฟ้าและลมพายุจะหนักเบาอย่างไร แม้แต่ซายอผู้เป็นพี่ ก็เชี่ยวชาญในการพยากรณ์นี้ ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นคนทะเลอันสืบทอดกันมายาวนาน
“หยุดพักตรงเกาะโน้นก่อนเถอะ ให้พอพายุไปเราค่อยเดินทางต่อ” ละมอยังคงร้องบอกพี่ชายซ้ำ
ทั้งๆที่ซายอเองก็รู้พายุน่าจะลงหนักไปถึงค่อนคืน แต่จิตใจของยิปซีทะเลหนุ่ม กลับมีปลายทางอยู่ที่เกาะใหญ่ไกลโพ้นทางโน้นมากกว่า แต่ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรเด็ดขาด สายฝนแรกก็เริ่มตกลงมาเป็นเม็ดใหญ่ จากเม็ดกระจายห่างในชั่วไม่กี่วินาทีก็กระหน่ำเป็นห่าฝนรุนแรงในบัดดล
ทั้งเด็กสาวและชายหนุ่มบนเรือก่าบาง ต่างยืนจ้องหน้ามองตากันว่าจะเอาอย่างไรดี..
“ว่ายังไงพี่ ละว่าเรือเราจะไม่ไหวนะพี่”
คำถามท่ามกลางสายฝนรุนแรงของเด็กสาว เหมือนซายอเองก็ตระหนักรู้แล้วว่าต้องทำสิ่งใด เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของเขา น้องสาว และเรือก่าบางลำนี้เรือที่เขาเองหวงแหนไม่น้อยไปกว่าชีวิตของตัว.. .. แล้วที่สุดซายอก็หันหัวเรือ เร่งเครื่องยนต์มุ่งตรงไปที่เกาะเล็กเบื้องหน้า
ละมอมองพี่ชาย มองการตัดสินใจกระทำของเขา อย่างนึกโล่งใจ
พายุฝนยังคงกระหน่ำเป็นเสียงดังสะท้อน เมื่อกระทบกับหลังคาเรือที่สร้างขึ้นจากใบเตยหนาม แม้ใบของมัน จะทนแดด ทนฝน ทนร้อน ทนหนาว เพียงไร แต่มันก็พร้อมที่จะพังอับปางลงได้ทุกเมื่อเหมือนมนุษย์ หากเจอพายุใหญ่เกินจะต้านทาน
เรือก่าบางเร่งเครื่องยนต์ มุ่งตรงใกล้สู่เกาะมากขึ้นทุกที
ท่ามกลางม่านฝนรุนแรง ภาพรางๆ เหมือนมีแสงไฟตรงเกาะเบื้องหน้า เหมือนแสงของไฟบนแผ่นดินใหญ่ที่เขาและละมอเพิ่งออกเรือมา ทั้งสายตาของทั้งสองเหมือนกำลังจับจ้องในสิ่งเดียวกัน พิศวงแห่งแสงไฟอันเลือนรางบนเกาะ คือความไม่คุ้นตางงใจ เพราะเกาะร้างเล็กตรงหน้านี้ แต่เด็กจนโตเขาไปเคยพบแสงไฟแบบนี้เลยสักดวง
และเมื่อยิ่งเข้าไปใกล้แสงไฟที่พบ ก็เริ่มแตกออกเป็นสองดวง สามดวง และสี่ดวง
ตาไม่ได้ฝาดไปใช่ไหม ซายอถามตัวเอง และยังคงจ้องมองแสงไฟผ่านม่านพายุ ส่วนละมอเองก็ยังคงงุนงงกับสิ่งที่เห็น แต่ไม่มีคำถาม มีเพียงความสับสน ถ้ามีแสงไฟก็ต้องมีมนุษย์ แต่เท่าที่เคยมายังเกาะแห่งนี้ แต่เด็กจนโตเป็นสาวแรกละมอเองไม่เคยเจอมนุษย์ หรือคนจากฝั่งเมืองเลยสักคน เหมือนที่พี่ชายของหล่อนก็ไม่เคยเจอ แล้วถ้ามันเป็นแสงไฟที่ไม่เกี่ยวกับการมีอยู่ของมนุษย์ มันจะคืออะไร คนทะเล คนป่า ไร้การศึกษาอย่างพวกเขา ยังคิดอะไรไม่ออกมากไปกว่านี้
เรือก่าบางเกยหาด.. ซายอดับเครื่องยนต์ แต่สายตาทุกวินาที ยังคงจับจดอยู่กับแสงไฟตรงหน้า แสงไฟที่เหมือนกับหลอดไฟบนฝั่งเมือง เหมือนจะลืมไปแล้วด้วยว่า พายุฝนที่สาดกระหน่ำร่าง ทำให้เผ้าผม เนื้อตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่ เปียกปอนไปมากมาย
ทั้งซายอและละมอก้าวออกจากเรือ เร่งรีบเดินลุยคลื่นทะเลริมฝั่ง จนก้าวเท้าขึ้นมาบนชาดหาด สายตาของทั้งคู่ที่จ้องมองแสงไฟนั้น เหมือนจะยังสงสัยไม่เลิก
“เหมือนจะมีคน” คำของละมอ คือการคาดคะเนปนความหวาดระแวง
ไม่มีถ้อยคำแสดงความเห็นใดๆจากคนผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของหล่อน แต่ในใจนั้น ซายอพอจะเชื่อเหมือนละมออยู่ว่าน่าจะมีคน ท่ามกลางแผ่นน้ำทะเลกว้างใหญ่ เกาะเล็ก เกาะน้อยทุกแห่งหนทั่วน่านน้ำอันดามัน เขาและพวกชนเผ่าของเขาเคยไปตั้งถิ่นฐานโยกย้ายไปมา พักค้างแรม แวะหลบพักลมมรสุมมาแล้วทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เกาะเล็กๆที่เขากำลังยืนอยู่ในตอนนี้
นึกแรกซายอคิดว่าอาจเป็นคนเผ่าของพวกเขามาตั้งถิ่นฐานอ้างแรมที่นี่ แต่แสงแห่งดวงไฟ ผิดวิสัยที่ชนเผ่าอย่างพวกเขาจะมีหรือรู้จัก และเมื่อเป็นดังนี้..ชนเผ่าที่เป็นเจ้าของแสงไฟเหล่านี้ คือพวกใด
“เราไปหาที่หลบฝนก่อนเถอะพี่”
คำของละมอ เริ่มเปลี่ยนความสนใจจากแสงไฟตรงหน้ามาเป็นเรื่องราวของตัวเอง ความหนาวเย็นของพายุฝนที่กระทบร่างเปียกปอน ทำให้เริ่มนึกมองหาที่พักพิงก่อน ก่อนจะมาครุ่นคิดว่าใครคือเจ้าของแสงไฟเหล่านั้น อีหรือมันเป็นพวกไหนกัน
“ไปตรงแสงไฟนั่นละ กูอยากรู้ว่าพวกมันเป็นใคร” ว่ากล่าวเสร็จไม่รีรอ ซายอรีบก้าวเดินต่อตรงไปยังแสงไฟตรงหน้าทันที ขณะที่ละมอเร่งก้าวเท้าเดินตามหลัง อย่างจะให้ทันพี่ชายให้ได้
ร่นเข้าไปจากขอบชายทะเลราวกว่าหนึ่งกิโลเมตร เป็นหมู่ทิวสนและต้นมะพร้าวตั้งตระหง่านเรียงกันอยู่หนาตา แต่ในยามนี้เหล่าต้นไม้ดูสูงทะมึนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด และใบของพวกมันก็กรูเสียงดัง ลู่ไปตามแรงของลมพายุ แรงฝน ดูน่ากลัว..
อ่านต่อในครั้งหน้า
หุบเขาแสงจันทร์ / ตรีวิทย์ นฤดม