"ไม่มีเรื่องบังเอิญ ถ้าอยากได้อะไร จงชัดเจน" (ข้อคิดดีๆจาก facebook )
ข้อคิดดีๆจากเฟซบุ๊ก
"ไม่มีเรื่องบังเอิญ"
เพื่อนเคยถามผมว่า
ทำไมถึงตั้งเป้าแล้ว
ทำได้ทุกครั้ง
มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
แล้ว.....
...ไม่เจออุปสรรคเหรอ?
เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้ตอนปี59
ผมบอกเพื่อนว่า
เจอแน่นอนอุปสรรคอ่ะ!
ส่วนง่ายมั้ย?
ขอใช้คำว่า...
ถ้าพยายามเอาจริง
แล้วทำตามกฏเกณฑ์ของโลก
"มันไม่ยากเกินไปดีกว่า"
ตอนผมตั้งเป้า1ล้านแรกตอนอายุ21
มันดูเป็นไปไม่ได้เลย
คนก็พูดแบบนั้น
สิ่งสำคัญในวันนั้นคือความเชื่อ
ผมเข้าใจกฏของโลกคือ
การคุยกับคนที่ยังทำไม่ได้
อะไรมันก็ดูยากไปหมด
ที่1ล้านแรกมันยากเพราะ
รอบตัวผมวันนั้นไม่มีคนทำได้เลย
ผมสะสมความเชื่อ
โดยการเอาตัวไปอยู่ในกลุ่มคนทำได้
และลงมือทำอะไรบางอย่างเลยทันที
ไม่นานนักจากที่คิดยากๆ
ก็กลายเป็นดูเป็นไปได้
จากดูเป็นไปได้
ก็กลายเป็นเกิดจริง
ตอนทำได้นั้นก็ตั้งเป้า2ล้านต่อเลย
คนบอกบ้า!เพ้อเจ้อ
ผมก็ทำแบบเดิมคือ
เอาตัวย้ายอยู่กับคนทำได้
เพื่อนผม
เลยมาถามอยู่บ่อยๆ
บอกตอนแรกนึกว่า...ฟลุ๊คดวงดี
แต่รอบ2นี่เชื่อสนิทใจ
ตอนนั้นผมเจอพี่อั๋นเชิดพงษ์
ซึ่งมีประสบการณ์ในการตั้งเป้าหมาย
และที่สำคัญคือเคล็ดลับดันคล้ายๆกันกับผม
เราเลยทดลอง
เขียนหนังสือเล่มนึง
คล้ายๆไดอารี่ของพวกเรา
ซึ่งมีทั้งเรื่องราว
และรวบรวมวิธีแก้ปัญหา
แลเทคนิคในการตั้งเป้าหมาย
"ให้ได้เป้าหมายของผมลงไป"
และนั่นก็เลยเป็นproductชิ้นแรก
ที่ผมเปิดขายหน้าเพจไป
ผมใช้ชื่อว่า
sBookตั้งเป้าให้ทะลุThe คัมภีร์
เป็นebook +วีดีโอ+คลิปเสียง
ผมเลยให้เพื่อนไปลองด้วย
1เดือนต่อมาเพื่อนผมลาออก
แล้ว3เดือนต่อมาก็บินไปตะวันออกกลางดื้อๆ
ไปทำแรงงาน
(อันนี้ผมมารู้ตอนหลังก็ตกใจ
เพราะตอนนั้น
มันแค่บอกทุกคนว่ากูจะไปเที่ยว
แล้วก็หายไปเลยดื้อๆ)
เจอตัวอีกทีกลายเป็น
เจ้าของธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
ที่มีมูลค่าเกิน10ล้าน
และมีเวลาพาพ่อแม่
ท่องเที่ยวตลอด
มารู้ตอนหลังว่า
สาเหตุเพราะมันอ่าน
แล้วลองทำตามWorkshopดูเล่นๆ
ไม่ได้คิดไร
แล้วค้นพบว่าจริงๆ
ที่มันทำงานทุกวันเป็นเพราะ
มันไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร
เลยแค่ทำๆไป
เคยคิดว่าชีวิต
ไม่มีเป้าหมายไม่มีจุดหมายก็ได้
แต่จริงๆมันพบว่า
ถ้าเราไม่มีจุดหมาย
เราจะไปอยู่ในเป้าหมายของคนอื่น
ชีวิตเหมือนไปนั่งอยู่ในรถชาวบ้าน
เค้าจะเลี้ยวก็เลี้ยว
จะเบรคก็เบรค
ควบคุมอะไรไม่ได้
แต่พอมันได้ทดลองทำ
ไล่ลิสต์สิ่งที่อยากได้จริง
กรองตามวิธีในworkshop
มันพบว่า
"ชีวิตเป็นของกู"
"รถเป็นของกู
"และกูนี่แหละคนขับ"
มันทำอยู่หลายวัน
จนมันเจอเบาะแสว่า
จริงๆชีวิตมันคือการได้อยู่กับคนรัก
พ่อแม่/ครอบครัว
มันต้องการท่องเที่ยว
พาพ่อ-แม่-แฟน
ไปเที่ยวต่างประเทศได้
พอมันคิดได้ปุ๊บ
ว่าไอ้ที่กูทำมันไม่ใช่
ทำอีก10ปีกูก็มีlifestyleแบบนั้นไม่ได้
แสดงว่ามันกำลังผิดทาง
ถนนเส้นนี้
มันไม่ได้พามันไปจุดหมาย
นั่นล่ะ
มันก็เลยทำตามworkshopต่อมาในsBook
คือวางแผนแล้วลุย
มันวางแผนไปทำงาน
จริงๆคือไปเรียนรู้งาน
เพื่อทำธุรกิจในอนาคต
หลังจากนั้นก็ลาออก
พอเราเห็นอีกทีคือ
มันมีชีวิตที่ใช่แล้ว
(ซึ่งหลายคนไม่เข้าใจ
ว่ามันลาออกจากระดับหัวหน้า
ไปเป็นแรงงานในต่างประเทศทำไม)
มันบอกผมว่า....
1.กูก็เคยคิดว่า กูไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมาย
2.แล้วกูพบว่า มันก็ไม่จำเป็นจริงๆนั่นแหละ
เพราะก่อนเจอ...กับหนังสือ...
กูก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
3.กูเห็น...สำเร็จกูยอมรับว่าอิจฉา กูก็ถามขำๆ
4.แต่...ก็จริงจัง และทำให้กูรู้สึกว่า
การมีเป้าหมายแม่งดีกว่า
5.เพราะการมีเป้าหมาย/การตั้งเป้าหมาย
5.1มันทำให้กูรู้ว่าที่ผ่านมา
การที่กูไม่เลือกทางเดินตัวเอง
มันทำให้กูเดินบนทางคนอื่นตลอด
5.2มันทำให้กูรู้ว่าความฝันที่กูอยากได้
มันจะเป็นแค่ความฝัน
ถ้ากูยังไม่เปลี่ยนแปลง
5.3มันทำให้กูรู้ว่า ไอ้ความฝันนั่นแหละ
คือเป้าหมายกู
แต่ที่ผ่านมากูแค่ไม่กล้าตั้ง
เพราะถูกดับฝันจากคนรอบข้างมานาน
5.4พอกูกล้าตั้งทั้งๆที่ไม่น่าเชื่อ
และเมื่อกูยิ่งเดินทาง
กูยิ่งพบว่ากูเริ่มเจอหลักฐานมากขึ้น
กูก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
วางแผนได้มากขึ้น
5.5กูก็ลังเลและช่วงแรกก็ไม่กล้า
ออกไปล่าฝัน
กูเลยถามตัวเอง
เหมือนที่...เล่าในหนังสือ
ว่า...
"ทางที่กูทำอยู่มันทำให้กูบรรลุเป้าหมายมั้ย?"
ถ้าใช่ทำต่อ
ถ้าไม่...ต้องหาทางได้แล้ว
5.6คำตอบกูคือไม่!
และตอนนั้นกูก็หาทางแล้ว
แต่คำตอบนี้แม่งยิ่งคอนเฟิร์มกู
5.7เพราะฉะนั้นคำตอบคือกูต้องไป
กูก็ไปเลยและก็มีวันนี้แหละ
6.และกูก็รู้ว่ากูนี่แหละ
คือคนกุมชะตาชีวิตตัวเอง
กูเคยรอให้โชคชะตามาเข้าข้างกู
เหมือนรอบังเอิญให้ฟลุ๊คเหมือนถูกหวย
ซึ่งตอนนี้กูรู้ว่าไม่มีทาง
7.เพราะหลังกูสำเร็จ
กูได้เจอคนสำเร็จมากมาย
กูได้พูดคุยแล้ว.....
กูเลยรู้ว่าคนพวกนี้
"แทบไม่มีคนไหนที่บังเอิญสำเร็จเลย"
"มีแต่คนที่ชัดเจน"
https://www.facebook.com/atenarnon/photos/a.709180492452763.1073741832.684521091585370/1443602969010508/?type=3&theater