เพราะกลิ่นปากไม่ใช่เรื่องตลก
สาเหตุที่ทำให้ปากมีกลิ่น
- ผู้ที่ใส่ฟันปลอมหรือใส่เครื่องมือต่างๆ ในปาก และไม่ทำความสะอาดให้ดี
- แปรงฟันไม่สะอาด
- ฟันซ้อน ฟันเก ฟันผุ
- แผลในปาก
- หินปูน
- เศษอาหารตกค้าง
- โรคระบบทางเดินหายใจ
- ทานอาหารที่มีกลิ่นแรง
- สูบบุหรี่
- มีคราบขาวบนลิ้น
วิธีทดสอบกลิ่น
- เอามือสองข้างมาป้องบริเวณรอบปากสูดลมหายใจเข้าออก ตรวจดูว่ามีกลิ่นเหม็นหรือไม่
- เลียข้อมือแล้วดม ว่ามีกลิ่นเหม็นหรือไม่
- ให้คนใกล้ชิดบอก ว่ามีกลิ่นเหม็นหรือไม่
สิ่งสำคัญในการรักษากลิ่นปาก คือ การดูแลความสะอาดภายในช่องปากอย่างถูกสุขอนามัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปรงฟันและการทำความสะอาดซอกฟัน รวมไปถึงหาสาเหตุการเกิดของกลิ่นที่แท้จริงถึงจะช่วยให้กลิ่นปากหายไปอย่างถาวร คำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณรับมือกับกลิ่นปากได้ง่ายขึ้น
วิธีดับกลิ่น
แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังตื่นนอนและก่อนนอน โดยเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม หัวแปรงเรียวเล็กที่สามารถเข้าทำความสะอาดได้ทุกซอกมุมภายในช่องปาก และยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ นอกจากนี้ควรแปรงให้ทั่วถึงทั่ว ทั้งด้านใน ด้านนอก โคนฟันของแต่ละซี่ และลิ้น ซึ่งก็เป็นแหล่งที่สะสมของแบคทีเรียได้เช่นกัน การแปรงฟันควรแปรงอย่างน้อย 2 นาที ไม่ควรรีบร้อนจนเกินไป เพราะจะทำให้แปรงได้ไม่ทั่วถึง
ควรใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ เพื่อเสริมเคลือบฟันให้แข็งแรง ฝึกใช้ไหมขัดฟัน หลังการแปรงฟันเป็นนิสัย อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์บริเวณซอกฟัน ซึ่งขนแปรงไม่สามารถเข้าถึง ลดสาเหตุของฟันผุได้
เลือกใช้น้ำยาบ้วนปากหรือสเปรย์ ใช้เสริมการแปรงฟัน หรือใช้ในยามจำเป็นหากคุณไม่สะดวกที่จะแปรงฟัน หรือใช้เป็นครั้งคราวในกรณีที่คุณต้องการความมั่นใจ (ไม่แนะนำให้ใช้เป็นกิจวัตรประจำวัน) เนื่องจากประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากสามารถช่วยลดกลิ่นปากได้ชั่วคราวประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่ได้ช่วยกำจัดสาเหตุที่แท้จริงออกไป โดยทันตแพทย์จะแนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากในกรณี เช่น ผู้ที่สุขภาพช่องปากไม่ดี ปากเป็นแผล เป็นโรคเหงือก มีการผ่าตัดเหงือก หรือผู้ที่มีแนวโน้มฟันผุง่าย เป็นต้น แต่สำหรับผู้ที่มีสุขภาพช่องปากเป็นปกติดีก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เพราะการใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เชื้อราในช่องปากเพิ่มขึ้นเพราะสมดุลในช่องปากเสียไป
เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอม เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมชนิดที่ไม่มีน้ำตาล แต่วิธีนี้ช่วยดับกลิ่นปากได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้เป็นกิจวัตรประจำวัน
ตรวจสุขภาพฟันและช่องปากกับทันตแพทย์อยู่เสมอ ควรตรวจสุขภาพในช่องปากเป็นประจำทุกปี เพื่อขจัดคราบฟันหรือหินปูนที่สะสมบนฟันให้หลุดออก รวมไปถึงหากตรวจพบโรคเกี่ยวกับฟันหรือเหงือกได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสหายขาดได้มากเท่านั้น
บางครั้งกลิ่นปากอาจเป็นสัญญาณของโรคหรือปัญหาทางสุขภาพ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โรคกรดไหลย้อน โรคไต โรคเบาหวาน จึงควรพบแพทย์เพื่อหาว่าเป็นสัญญาณของโรคที่ซ่อนอยู่หรือไม่ นอกจากนี้การรับประทานยาบางประเภทอาจมีผลต่อการเกิดกลิ่นได้ เช่น ยาแก้แพ้หรือยาแอนติฮิสตามีน ยาพวกไนเตรท เช่น ยาอมใต้ลิ้นในผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือยาเคมีบำบัดบางประเภท ผู้ที่กังวลอาจลองปรึกษาแพทย์ถึงผลข้างเคียงจากการรับประทานยา
เพิ่มเราเป็นเพื่อน รับข่าวสารทางไลน์ได้แล้วนะจ๊ะ
https://line.me/R/ti/p/%40pranamai
#กรมอนามัย #ส่งเสริมให้คนไทยสุขภาพดี
##กรมอนามัยส่งเสริมให้คนไทยสุขภาพดี #สุขภาพ