ปฏิวัติการพัฒนาเมืองของประเทศไทย
หลายคนเห็นปัญหาการจราจร ความแออัด สิ่งแวดล้อมเป็นพิษในกรุงบเทพมหานครแล้ว ได้แต่เบือนหน้าหนี เพราะหาทางออกไม่เจอ บางคนบอกว่าเราต้องย้ายเมืองหลวงแล้ว เพราะ "เน่าใน" เหลือเกิน แต่จริงๆ เรามีทางเยียวยากรุงเทพมหานครและเมืองต่างๆ ได้ทั่วประเทศ ง่ายเหมือนคลิกเท่านั้น อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะกล้าหรือไม่เท่านั้น
ในวันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2560 ผมในฐานะของประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย (www.thaiappraisal.org) ได้จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง "นโยบายที่อยู่อาศัย อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมืองของไทย" และได้จัดทำเอกสารประกอบการประชุมไว้ค่อนข้างชัดเจนมากและมีขนาดไฟล์ใหญ่พอสมควร ท่านใดสนใจสามารถ download ได้ฟรีที่ http://bit.ly/1FK7IX1
ในงานดังกล่าวมีผู้ร่วมงานเกือบร้อยคนจากภาครัฐและภาคเอกชน มาเพื่อช่วยร่วมกันระดมสมองหาแนวทางการพัฒนาเมือง ตั้งแต่ชุมชนแออัด บ้านจัดสรร-อาคารชุด การจัดการสิ่งแวดล้อมและอื่น ๆ โดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างละเอียด และนำเสนอให้กลุ่มใหญ่ไดพิจารณา รวมทั้งถือเป็นแนวทางการนำเสนอของผู้ห่วงใยต่อสังคมเมืองของประเทศไทย เผื่อทางราชการจะได้นำความคิดต่าง ๆ ไปปรับใช้ตามสมควรด้วย
ในส่วนของผมเอง ผมได้เสนอแนวคิดปฏิวัติเมืองแบบใหม่ ย้อนแย้งกับแนวคิดแบบทั่วไปหรือ Conventional Approach สำหรับนโยบายใหม่ที่ถือเป็นการปฏิวัติเมือง ควรเป็นดังนี้:
1. รื้อชุมชนแออัด ปกติชุมชนแออัดไม่มีใครกล้าไปแตะต้อง แต่ผมขอเสนอให้รื้อชุมชนแออัดในใจกลางเมืองเพราะการที่มีชุมชนแออัดอยู่นี้ ทำให้ราคาที่ดินจำกัด สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม แต่หากสามารถนำมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ ก็จะทำให้มูลค่าที่ดินพุ่งขึ้นทันที สามารถนำเงินมาพัฒนาที่ดินส่วนหนึ่งของพื้นที่ชุมชนแออัดเพื่อให้ประชาชนอยู่อาศัยในแนวดิ่ง และเหลือที่ดินมาใช้เพื่อการพัฒนา สามารถเพิ่มจำนวนผู้มีรายได้น้อยได้มากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ต้องควบคุมการเซ้งสิทธิ์โดยเคร่งครัด
ในเขตใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร ยังมีชุมชนแอัดอยู่มากมาย ไม่ใช่ว่าคนในชุมชนต้องการอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่เพราะการมีฐานะจำกัด ทุกคนก็อยากให้บุตรหลานมีที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น ดังนั้นการปรับปรุงชุมชนแออัดใหม่ด้วยการรื้อย้าย ใครที่ต้องการเงินชดเชยไปอยู่ที่อื่นก็ได้คุ้มค่า คนที่ต้องการอยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็จัดสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ให้เพื่อไม่ให้กระทบต่อวิถีชีวิตเดิม แต่ที่ส่วนใหญ่สามารถนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ นำกำไรที่ได้มาพัฒนาประเทศชาติต่อไป
2. การนำส่วนราชการเข้าเมือง เช่น พื้นที่ราชพัสดุที่เป็นเขตทหารที่อาจไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้แล้วในขณะนี้เพราะสามารถเคลื่อนกำลังได้รวดเร็ว แถวเกียกกาย สนามเป้า ฯลฯ ควรนำมาพัฒนาเป็นศูนย์ราชการใหม่ ควบศูนย์ธุรกิจใหม่ ให้การติดต่อราชการรวมศูนย์ และกระจายออกด้วยระบบขนส่งมวลชนที่ดี ไม่ใช่กระจายศูนย์ราชการออกไปหลาย ๆ ศูนย์ ซึ่งทำให้การเดินทางไปติดต่อราชการของประชาชนยากลำบาก
ยิ่งในขณะนี้เมืองขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาศูนย์ราชการอยู่ใจกลางเมืองเพื่อให้สะดวกต่อทุกฝ่ายในการเดินทางเข้าเมือง และเสริมด้วยระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เมืองมีศักยภาพที่ดีในการระบายประชากรกลางวันและประชากรกลางคืน การสร้างศูนย์ราชการออกสู่รอบนอกเป็นการทำให้เมืองลามออกไปอย่างขาดการควบคุมและไร้ประสิทธิภาพ
3. นำ "หัวลำโพง" + "หมอชิต" มาอยู่ที่เดียวกัน เพื่อความสะดวกในการเดินทางและต่อรถโดยสารของประชาชนที่เข้ามาติดต่อในเมือง โดย "หัวลำโพง" ใหม่อาจอยู่ที่ "บางซื่อ-จตุจักร" แต่ "บขส." ก็ควรอยู่ที่เดียวกันด้วย ส่วนบริเวณ "หัวลำโพง" เดิม ควรนำมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ เป็นศูนย์ธุรกิจหรือศูนย์ราชการ ไม่ใช่แค่นำมาทำพิพิธภัณฑ์ที่ไร้ชีวิต
การเดินทางต่อรถจากต่างจังหวัดที่อาศัยทั้งทางรถไฟและรถยนต์จึงควรอยู่คู่กัน และเชื่อมต่อด้วยระบบขนส่งมวลชนท้องถิ่น ทั้งรถไฟฟ้าและรถประจำทาง หรือยังอาจรวมไปถึงกระเช้าไฟฟ้าด้วยก็ได้
4. ทำพื้นที่ใจกลางเมืองให้ก่อสร้างหนาแน่น โดยเพิ่ม FAR เป็น 20:1 และเก็บภาษีส่วนที่สร้างได้เพิ่มขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ การนี้จะทำให้เมืองไม่ขยายตัวออกสู่รอบนอกอย่างไร้ขอบเขต ทำให้เมืองมีการหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มความหนาแน่น (High Density) นี้ไม่ใช่การเพิ่มความแออัด (Overcrowdedness) จึงยังสามารถสร้างอาคารเขียว สร้างพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองได้อีกด้วย
5. สร้างเมืองใหม่ หรือ Bed City หรือเมืองบริวาร ที่เชื่อมต่อด้วยระบบรถไฟฟ้าและทางด่วนในทิศทางต่าง ๆ โดยอาจเป็นในทิศทางรอบ ๆ เพื่อให้ประชาชนเดินทางไปอยู่อาศัยโดยรอบของเมืองได้ แต่ "ห้ามขาด" สำหรับจัดสรรที่ดินนอกพื้นที่อื่น เพื่อระงับการเติบโตอย่างไร้ระเบียบของกรุงเทพมหานคร ใครจะจัดสรร ต้องจัดสรรเฉพาะในพื้นที่เมืองใหม่หรือเมืองชี้นำการพัฒนาที่จัดขึ้นในพื้นที่ที่กำหนดตามสี่มุมเมืองเท่านั้น
หากดำเนินการตามนี้จะทำให้เมืองมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั่นเอง ประชาชนก็จะมีความผาสุกกว่าที่เป็นอยู่นี้ สามารถควบคุมการเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
เมืองก็จะมีความยั่งยืนนั่นเอง