รวมวิธียืดอายุใช้งานแบตเตอรี่ รถยนต์
ผู้ขับขี่ รถยนต์ หลายคนไม่ทราบ วิธีดูแลแบตเตอรี่ รถยนต์ ให้ใช้งานได้นานเท่าที่ศักยภาพแบตเตอรี่จะทำได้
ผู้ขับขี่ รถยนต์ หลายคนอาจจะไม่ทราบว่ามีวิธีดูแลแบตเตอรี่ รถยนต์ ให้ใช้งานได้นานเท่าที่ศักยภาพของแบตเตอรี่จะทำได้ ไม่ใช่ใช้ไปตามยถากรรม อาจทำให้ใช้งานได้ไม่เต็มที่ ต้องเสียเงินเปลี่ยนก่อนเวลาอันควร มีค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งกว่าพันบาท มีคำแนะนำการดูแลแบตเตอรี่ รถยนต์ ให้ใช้งานได้นาน ด้วยวิธีง่ายๆ แต่ก่อนอื่นมารู้จักประเภทของแบตเตอรี่ รถยนต์ ก่อน แบตเตอรี่ รถยนต์ มีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ แบบเปียก และแบบแห้ง แบตเตอรี่แบบเปียก เป็นที่นิยมใช้กันใน รถยนต์ ส่วนใหญ่ มีฝาเปิด-ปิด สามารถเติมน้ำกลั่นเองได้ มีอายุการใช้งานประมาณ 1-2 ปี แต่หากดูแลดี สามารถใช้งานได้นานกว่านั้นมาก ส่วนจะนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน แต่มั่นใจได้เลยว่านานกว่าที่เคยใช้อยู่แน่นอน เพียงแค่ดูแลเติมน้ำกลั่น อย่างน้อยประมาณสัปดาห์ละครั้ง แบตเตอรี่แบบแห้ง เป็นแบตเตอรี่แบบไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่น แบตเตอรี่แบบนี้จะไม่มีฝาเปิด-ปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น ระยะหลังเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น แบตเตอรี่รุ่นใหม่จะเป็นประเภทนี้ เพราะสะดวกสบาย แต่ราคาจะค่อนข้างสูงกว่าแบตเตอรี่ประเภทอื่นด้วย และจะมีอายุการใช้งานระยะเวลานานกว่าแบบเปียก มีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี หาก รถยนต์ ของคุณใช้แบตเตอรี่แบบแห้ง ขอแนะนำว่าอย่าต่อเติม ปรับแต่งอะไรที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเข้าไป เพราะกำลังไฟอาจไม่พอ และจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้
วิธีการดูแลแบตเตอรี่รถยนต์
- ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่อยู่เสมอ โดยดูแลอย่าให้มีรอยแตกรอยร้าว เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้เท่าที่ควร
- ควรดูแลขั้วแบตเตอรี่ให้สะอาดอยู่เสมอ วิธีการดูแลง่ายๆ คือ ให้ทาขั้วแบตเตอรี่ด้วยวาสลีน เพื่อป้องกันไม่ให้มีคราบขี้เกลือขึ้น แต่หากมีคราบขี้เกลือขึ้นที่ขั้วแบตเตอรี่แล้ว ก็มีวิธีทำความสะอาดง่ายๆ คือ ใช้น้ำร้อนราดทำความสะอาด
- ตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง อย่าปล่อยให้น้ำกลั่นแห้ง ควรเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับกลางๆ ระหว่างขีดสูงสุดและต่ำสุด แต่อย่าเติมให้เกินขีดสูงสุด
- ควรตรวจสอบวัดระดับกระแสไฟฟ้าของแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูว่าแบตเตอรี่เสื่อมหรือมีปัญหาอื่นๆ ในการเก็บประจุไฟฟ้าหรือไม่
- ควรตรวจเช็กระบบชาร์จไฟของอัลเตอร์เนเตอร์ด้วยว่า ระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงเกินไปหรือเปล่า ถ้าต่ำไปเราอาจมีประจุไฟไม่พอใช้ ทำให้มีปัญหาตอนสตาร์ตรถ หรือหากสูงไปจะทำให้น้ำกรด และน้ำกลั่นระเหย และเดือดเร็วเกินไป อาจจะทำให้มีปัญหาหม้อน้ำมีความร้อนสูงเกินได้ด้วย
- หากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวอย่างภาคเหนือ อย่าลืมว่าประสิทธิภาพการกระจายของน้ำกรดและน้ำกลั่นจะลดลงด้วย ดังนั้น ขณะอากาศเย็นมากๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมากๆ จะให้ดีจอดรถข้ามคืน ตอนเช้าควรจะสตาร์ตรถยนต์ทิ้งไว้สัก 5-10 นาทีเพื่ออุ่นเครื่อง
- หากระบบไฟอ่อน หรือมีปัญหาตอนสตาร์ตเครื่อง อาจจะลองตรวจสอบไดชาร์จดู
- อย่าใช้น้ำกรดหรือน้ำกลั่นที่มีสารเคมีผสม อาจจะไปกัดตัวแบตเตอรี่ทำให้มีปัญหาได้
- ห้ามสูบบุหรี่ขณะตรวจเช็กแบตเตอรี่เป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้ระเบิดได้
- สำหรับแบตเตอรี่แห้ง ตัวตาแมวของแบตเตอรี่จะเอาไว้ใช้ดูกำลังไฟ หากเป็นสีน้ำเงินเท่ากับว่าทุกอย่างปกติดี หากเปลี่ยนเป็นสีส้ม หรือสีแดง หมายความว่าแบตเตอรี่มีปัญหา อาจจะต้องชาร์จไฟ หรือเติมน้ำกลั่นเพิ่ม แต่ถ้าเป็นสีขาว แปลว่าแบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพหรือเสีย ต้องเปลี่ยนลูกใหม่สถานเดียว
อาการของแบตเตอรี่ใกล้หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ
- สตาร์ตเครื่องติดยาก
- ไฟหน้ารถไม่สว่าง
- ระบบไฟฟ้าใน รถยนต์ ทำงานช้าลง เช่น กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง เป็นต้น
- ไดสตาร์ตไม่ทำงาน
- แผ่นธาตุภายในเกิดอาการบวม