อย่าปล้นที่ดินข้าง รร.เรยีนาฯ เชียงใหม่ไปทำสวนเพื่อกฎหมู่
เสียดายรัฐบาลตู่ "อันห้าวหาญ" กลับยอมแพ้แก่กฎหมู่ที่คัดค้านการสร้างบ้านประชารัฐในที่ราชพัสดุ ถนนเจริญประเทศ เชียงใหม่ มองในแง่หนึ่งนี่คือการปล้นที่ดินสาธารณะไปใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนตนโดยแท้
https://thaisocialwork.files.wordpress.com/2016/08/59-284.jpg
ตามที่แต่เดิมมีข่าวว่า กรมธนารักษ์จะนำที่ราชพัสดุเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 33 ตารางวา ที่ตั้งอยู่ข้างโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย ถนนเจริญประเทศ ตำบลช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ไปทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายของรัฐบาล" (http://bit.ly/2b6Cyy7) และต่อมามีข่าวการคัดค้านจาก "15องค์กร" เกรงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จราจร และอื่นๆ และเสนอให้พัฒนาเป็นสวนสาธารณะ (http://bit.ly/2aWzEf0)
ดร.โสภณ ชี้ว่า ข้อเสนอของ "15 องค์กร" (ไม่รู้มีอยู่จริงหรือไม่) ฟังไม่ขึ้นเพราะ
- ที่ดินแปลงนี้เป็นสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนทั่วประเทศร่วมเป็นเจ้าของ ไม่ใช่จะใช้เพื่อประโยชน์ของคนในย่านนี้เท่านั้น หาไม่ก็เท่ากับ "มือใครยาว สาวได้สาวเอา"
- ถ้าชุมชนโดยรอบต้องการได้ที่ดินแปลงนี้เพื่อประโยชน์ของตนหรือกลุ่มของตน เพราะตนอยู่ใกล้ได้ใช้ประโยชน์มากกว่าชาวเชียงใหม่ในท้องที่อื่น หรือคนจังหวัดอื่น ก็ควรจะเช่าหรือซื้อตามราคาหรือค่าเช่าตลาดจากกรมธนารักษ์ จึงจะถูกต้อง
- การอ้างว่าควรสร้างสวนสาธารณะใจกลางเมืองนั้น ผู้ได้ประโยชน์คือคนอยู่ใกล้ แนวคิดการทำสวนสาธารณะในปัจจุบัน ควรมุ่งกระจายไปสู่ชุมชน ไม่ใช่สร้างในใจกลางเมืองเฉพาะจุด
- การมีโรงเรียนนี้และโรงเรียนอื่นอยู่ในพื้นที่นี้และทำให้การจราจรติดขัด ถือเป็นความรับผิดชอบของโรงเรียนที่ต้องแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ด้วยทรัพยากรของตนเอง ไม่ให้กระทบต่อสังคม ไม่ใช่ผลักภาระให้กับสังคมโดยนำที่หลวงไปใช้ประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
- การไม่ให้สร้างบ้านประชารัฐนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ "รังเกียจคนจน" หรือไม่ คนที่เรียนอยู่โรงเรียนแถวนั้นอาจเป็นคนมีฐานะดี ไม่อยากอยู่ใกล้ชุมชนผู้มีรายได้น้อยหรืออย่างไร ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นการคิดที่เลวร้ายมาก
ที่ดินขนาดเกือบ 9 ไร่ 3 งาน 33 ตารางวานี้ หรือ 3,933 ตารางวา (9.8325 ไร่) หากประเมินตามราคาตลาด ดร.โสภณ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ประเมินไว้เบื้องต้นเป็นเงินตารางวาละ 150,000 บาท หรือรวมเป็นเงินประมาณ 589.95 ล้านบาท หากให้ชุมชนเช่าในระยะยาว 30 ปี ก็เป็นเงินประมาณ 40% ของมูลค่าตลาด หรือ 235.98 ล้านบาท "15 องค์กร" ที่อ้าง ควรร่วมกัน "ลงขัน" ออกเงินมาเพื่อเช่าที่ดินแปลงนี้ อย่างไรก็ตามในทางตรงกันข้าม ในอนาคต โรงเรียนเหล่านี้เองก็อาจจะเลิกกิจการ หรือย้ายออกไปสู่ท้องที่อื่นของจังหวัดเชียงใหม่ เพราะไม่สะดวกที่จะอยู่ในใจกลางเมือง เช่นที่โรงเรียนหลายแห่งได้ขายหรือย้ายออกไปแล้ว ที่ดินของโรงเรียนเองก็อาจจะถูกขายเพื่อนำเงินมาใช้เพื่อประโยชน์ขององค์กรได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ดร.โสภณ ก็ไม่เห็นด้วยกับการนำที่ดินแปลงนี้มาใช้เพื่อสร้างบ้านพักข้าราชการและบ้านผู้มีรายได้น้อย เพราะ
- ข้าราชการก็ได้รับความช่วยเหลือ และสิทธิประโยชน์มากกว่าประชาชนทั่วไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดหาสวัสดิการให้เพิ่มเติมเช่นนี้อีก
- ที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยก็ได้รับการก่อสร้างโดยภาคเอกชนอย่างพอเพียง ไม่เคยมีปัญหาความขาดแคลนที่อยู่อาศัย ไม่เคยมีการร้องเรียนว่าบ้านราคาแพงเกินกว่าจะซื้อได้จนรัฐต้องจัดสร้างเอง
- การจัดสร้างที่อยู่อาศัยของกรมธนารักษ์เช่นนี้ จึงอาจกลายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับเหมา และบริษัทขายปูนและเหล็ก หรือวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ เป็นสำคัญ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อผู้มีรายได้น้อยเลย
- กรมธนารักษ์ไม่ทราบความจริงถึงราคาตลาดนี้ที่ 589.95 ล้านบาท ใช้แต่ราคาประเมินของทางราชการที่ประเมินไว้เพียง 124.64 ล้านบาท จึงวางแผนการพัฒนาผิดพลาด ผิดกลุ่มเป้าหมาย
- การสร้างห้องชุดขนาด 29 ตารางเมตรในใจกลางเมืองนั้น หากขายโดยภาคเอกชน จะตกเป็นเงินตารางเมตรละ 80,000 บาท หรือรวมเป็นเงินหน่วยละ 2,320,000 บาทแต่กรมธนารักษ์จะขายในราคา 600,000 บาท ใครที่ซื้อไปหรือสามารถเช่าระยะยาวได้ ก็ถือว่า "ถูกหวย" ได้สินค้าราคาแสนถูกโดยอาศัยภาษีอากรของประชาชน และที่ดินผืนงามที่ประเมินราคาผิดพลาดมาใช้ กลายเป็นการสร้างปัญหาให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ดังนั้น ดร.โสภณ จึงเสนอให้หยุดคิดสร้างบ้านราคาถูกและบ้านพักข้าราชการเพราะไม่จำเป็น ทำทรัพยากรของชาติสูญเสีย แล้วนำที่ดินแปลงนี้มาประมูลเพื่อการให้เช่าระยะยาว 30 ปี เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์อื่น เช่น โรงแรมระดับ 4-5 ดาว หรืออาคารสำนักงานเกรด A ซึ่งมีอยู่หลายแห่งในพื้นที่ ในทางหนึ่งโรงแรมชั้นดีเหล่านี้ก็คงรักษาพื้นที่สีเขียวและสภาพแวดล้อมส่วนมากไว้เป็นอย่างดี อีกด้านหนึ่งก็จะได้นำเงินรายได้ที่ได้จากให้เช่าระยะยาวนี้ รวมทั้งค่าก่อสร้างอีกมหาศาลกับโครงการที่ผิดกลุ่มเป้าหมายแบบนี้ มาใช้เพื่อพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายมากกว่า
อย่าให้กฎหมู่ตู่เอาที่ดินของประชาชนทั้งประเทศไปใช้เพื่อประโยชน์เฉพาะตนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ อย่าให้ "อวิชชา" หรือความไม่รู้เรื่องมูลค่าทรัพย์สิน มากำหนดการใช้ที่ดินส่งเดช การถือเอาสมบัติของแผ่นดินไปใช้เฉพาะกลุ่มเป็นสิ่งพึงละอาย
ภาพประกอบ 1: แปลงที่ดิน 2 แปลงของกรมธนารักษ์
https://thaisocialwork.files.wordpress.com/2016/08/59-280-1.jpg
ภาพประกอบ 2: แผนที่ตั้งที่ดิน ด้านบนโรงเรียนเรยีนาฯ และโรงแรมโดยรอบ
https://thaisocialwork.files.wordpress.com/2016/08/59-280-2.jpg
ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1671.htm