กันยายน 2559 เปิดโครงการใหม่พุ่งถึง 40 โครงการ
ข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีก็คือ ในเดือนกันยายน 2559 มีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมากเป็นพิเศษถึง 40 โครงการ แต่ข่าวร้ายคาดว่าตลอดทั้งปี การเปิดตัวจะชะลอตัวลงกว่าปี 2558 ถึง 14% ในแง่จำนวนหน่วยเปิดใหม่ และ 25% ในแง่มูลค่าการพัฒนาเมื่อเทียบกับปี 2558 แต่ ดร.โสภณ ก็คาดว่าในปี 2560 สถานการณ์น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้พอๆ กับปี 2558
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) แถลงว่า ในเดือนกันยายน ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการเปิดตัวโครงการเพิ่มมากขึ้นก่อนสิ้นไตรมาส 3 โดยในเดือนนี้มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 40 โครงการ เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม จำนวน 2 โครงการ และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตาม แต่จำนวนหน่วยขายกลับลดลง เนื่องจากส่วนใหญ่ที่เปิดขายเป็นบ้านแนวราบที่มีราคาปานกลางถึงระดับราคาสูง เช่นเดียวกับเดือนสิงหาคม โดยลักษณะการพัฒนาเป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้ง 40 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายรวมทั้งหมด 7,966 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 36,381 ล้านบาท
จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 7,966 หน่วย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 472 หน่วย (เดือนสิงหาคม 2559 มีจำนวน 8,438 หน่วย) หรือลดลงประมาณ 6% เมื่อพิจารณามูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนกันยายน 2559 นี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 36,381 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 5,890 ล้านบาท (เดือนสิงหาคม 2559 มีมูลค่า 30,491 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 19%
เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) จำนวน 11 บริษัท คือ พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน), ชีวาทัย จำกัด (มหาชน), เมเจอร์ จำกัด ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), แสนสิริ จำกัด (มหาชน), เสนาดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (มหาชน), เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน), แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน), ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ออล อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทในเครือ และบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง หากเปรียบเทียบการพัฒนาระหว่างบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทในเครือ และบริษัททั่วไป
ในด้านทำเลที่ตั้ง จะพบว่าในเดือนนี้มีโครงการที่เปิดตัวใหม่และตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นในจำนวน 8 โครงการ ชั้นกลางและส่วนต่อขยายของเมือง (intermediate area) จำนวน 22 โครงการ เช่น ถนนติวานนท์ ถนนรามอินทรา-วงแหวน ถนนรามคำแหง ถนนเพชรเกษม ถนนราชพฤกษ์ ถนนกาญจนภิเษก และถนนชัยพฤกษ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอีก 10 โครงการที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกซึ่งเป็นย่านชุมชนที่อยู่อาศัยในย่านนั้น เช่น ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ถนนเศรษฐกิจ ถนนรังสิต-ลำลูกกา เป็นต้น
หากพิจารณาภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดใหม่เดือนกันยายนของปีนี้กับเดือนกันยายนปี 2558 จะพบว่าในปีนี้มีจำนวนโครงการเปิดใหม่เท่ากันกัน มีจำนวนหน่วยขายลดลง 1,781 หน่วย (-18%) มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 92 ล้านบาท (0.3%) แต่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้นจาก 3.723 ล้านบาท เป็น 4.567 ล้านบาท (23%) แสดงว่าเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เดือนกันยายนปีนี้เปิดขายสินค้าราคาแพงมากขึ้น
หากพิจารณาภาพรวมใน 9 เดือนแรก 2559 (มกราคม-กันยายน 2559) เปรียบเทียบกับ 9 เดือนแรกปี 2558 มีจำนวนโครงการที่เปิดใหม่รวม 311 โครงการ (ลดลง -5%) มีจำนวนหน่วยขายรวม 71,841 หน่วย (ลดลงประมาณ -14%) มีมูลค่ารวม 245,387 ล้านบาท (-25%) และมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยลดลงจาก 3.885 ล้านบาท เป็น 3.416 ล้านบาท (-12%) โดยกลุ่มที่อยู่อาศัยที่เปิดขายมากสุด คืออาคารชุดจำนวน 36,097 หน่วย (50%) รองลงมา คือ ทาวน์เฮ้าส์ 20,409 หน่วย (28%) และอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 8,727 หน่วย (12%)
อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายนนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้พบโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่รอเปิดขายใหม่ในอนาคตอีก 382 โครงการตามตารางที่ 3 โดยได้แสดงชื่อโครงการ และที่ตั้งโดยสังเขปไว้ ซึ่งความคืบหน้าจะได้นำเสนอต่อไป จะสังเกตได้ว่ามีโครงการหลายแห่งที่ได้ประกาศตัวหรือเปิดตัวทางหน้าหนังสือพิมพ์ อย่างไรก็ตามในการเปิดขายจริง (ที่มีโบรชัวร์และสำนักงานขายที่พร้อมต้อนรับผู้สนใจซื้อไปเยี่ยมชม) ยังไม่มี จึงถือเป็นโครงการที่ยังไม่เปิดตัวและเมื่อเปิดตัวจริงแล้ว จะได้ดำเนินการสำรวจต่อไป
ดร.โสภณ คาดว่าว่าในปี 2559 นี้ จะมียอดเปิดตัวตกต่ำกว่าปี 2558 อย่างแน่นอน โดยใช้เกณฑ์จาก 9 เดือนแรกของปี 2559 เป็นเกณฑ์ แต่เดิมนั้นคาดว่าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559 จะมีโครงการเกิดใหม่อีกมาก แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การเปิดตัวใหม่น่าจะชะลอตัวออกไป ดังนั้นจึงสรุปว่าในปี 2559 นี้ จำนวนหน่วยขายที่อยู่อาศัยใหม่จะลดลง 14% มูลค่าการพัฒนาจะลดลง 25% ราคาเฉลี่ยจะลดลง 12% แต่คาดว่าในปี 2560 สถานการณ์จะกระเตื้องขึ้นเท่ากับปี 2558 ที่ผ่านมา
โดยนัยนี้การโฆษณาต่าง ๆ ในสื่อจะมีน้อยลง สื่ออาจทยอยปิดตัวลงมากขึ้น บริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับสื่อก็อาจได้รับผลกระทบร้ายแรงในปี 2559 เทียบกับปี 2558 นอกจากนี้ราคาที่ดินก็อาจจะเพิ่มในอัตราที่ต่ำลงบ้าง จากแต่เดิมร้อยละ 4-5% ต่อปี เพราะอุปสงค์ในการซื้อที่ดินเป็นธนาคารที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการจะลดลงไปด้วย เพราะต่างก็จะระมัดระวังความเสี่ยงและ "รัดเข็มขัด"
ที่มา http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1644.htm