อย่าใช้สถาบันมาหากินส่วนตัวเพราะเท่ากับทุจริต
การนำสถาบันหนึ่ง ๆ มาหากินส่วนตัวนั้น นอกจากจะไม่สง่างามแล้ว ยังถือเป็นการกระทำที่ทุจริตและประพฤติมิชอบอีกด้วย เราควรรู้ทันและเข้าถึงการโกงที่ลึกซึ้งนี้
สถาบันดังกล่าว อาจหมายถึงสถาบันการศึกษา หน่วยราชการ ตลอดจนสมาคมมูลนิธิต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะ แต่ถูกนำไปใช้เพื่อการหากินส่วนตัวอย่างน่าละอาย อย่างไรก็ตามในการอ้างอิงสถาบันไม่ถือเป็นการนำสถาบันมาหากิน เช่น
- ผมหรือบุคคลอื่น อาจอ้างอิงว่าตนจบการศึกษามาจากสถาบันที่ดี เช่น ร.ร.เทพศิรินทร์ (ในหลวง ร.8 ก็ยังเคยเป็นนักเรียนเก่า) ธรรมศาสตร์ (เป็นมหาวิทยาลัยที่ (เคย) เที่ยงธรรม) AIT (เป็นสถาบันนานาชาติที่เป็นที่ยอมรรับในระดับสากล) เป็นต้น
- ผมหรือบุคคลอื่น อาจอ้างอิงว่าตนเคยทำงานให้หน่วยงานต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติ ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเซีย การเคหะแห่งชาติ เคยเป็นที่ปรึกษาในโครงการของกระทรวงการคลังในประเทศกัมพูชา บรูไน เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น
- ผมหรือบุคคลอื่น อาจอ้างอิงว่าตนเคยสอนหนังสือในระดับ ป.ตรี โท เอกในสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ หรือสถาบันเฉพาะเช่น สถาบันพระปกเกล้า ปปช. จปร. วิทยาลัยตำรวจ เป็นต้น
แต่การนำสถาบันมาหากินส่วนตัวย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ทุจริตและประพฤติชั่ว เช่น อ้างสถาบัน หรือที่ทำงานของตนเองไปรีดไถพ่อค้าวาณิชเพื่อนำเงินไปประกอบกิจกรรมดี กรณีนี้เป็นสิ่งที่ควรแก้ไข ถือเป็นการ "ฉ้อราษฎร์" อย่างไม่สมควร สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้า "หัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระดิก" การที่ "หางกระดิก" เพราะ "ส่วนหัวสาย" สั่งมาตามลำดับขั้นบ้าง หรือปล่อยให้ข้าราชการระดับกลาง ๆ ลงมา "ปล้นชิง" ประชาชนบ้าง
ในด้านการศึกษา บางคนใช้ชื่อคณะและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ตนเคยทำงานของตัวเองมาหากินทำการสอนต่าง ๆ นานา จนแล้วจนรอดจนตั้งเป็นบริษัทขึ้นมาหากินส่วนตัว ก็ยังใช้ชื่อสถาบันอุดมศึกษาดังกล่าวมาอ้างอิงอย่างต่อเนื่อง อย่างนี้เรียกว่าฉ้อฉล เมื่อ 20 ปีก่อน มีอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน ชวนผมจัดอบรมหลักสูตรอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน แต่ผมไม่เอา ไม่ชอบการแข่งขันกับใคร และไม่ต้องการอิงสถาบัน แม้จะแบ่งกำไรให้สถาบันก็ตาม แต่พวกยิ่งทำโดยไม่เกี่ยวข้อง แต่ยังใช้ชื่อสถาบันมาหากิน อาจถือได้ว่าเป็นการไม่เคารพสถาบัน ทำลายสถาบันอีกต่างหาก
บางคนทำงานสมาคมมูลนิธิต่าง ๆ เกาะตำแหน่งไม่ยอมไปไหน อยู่จนรากงอก ก็เพราะหวังจะได้ลาภยศจากพวกข้าราชการต่าง ๆ นานา เช่น ไปอบรมผู้บริหารระดับสูง ซึ่งใช้เงินมหาศาล แต่ประโยชน์กับตกอยู่กับคนบางคน บ้างก็หวังจะได้เป็นพวกข้าราชการสมทบ บ้างก็หวังสายสะพาย กรณีนี้ยังรวมไปถึงผู้นำแรงงานบางส่วนได้อีกด้วย ตกลงการที่ทำไปทำมาไม่ได้ทำเพื่อวิชาชีพ ไม่ได้ทำเพื่อกลุ่มธุรกิจของตน ไม่ได้ทำเพื่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานของตนเอง แต่ทำไปเพื่อใช้สถาบัน (สมาคมและมูลนิธิ) ในการไต่เต้า เป็นสำคัญ
ผมเองก็เป็นนายกสมาคม ประธานมูลนิธิ แต่ผมออกเงินตั้งเอง ไม่ได้มาชุบมือเปิบจากใคร ตั้งใจว่าจะทำดี เพื่อให้คนอื่นเห็น จะได้เห็นคุณค่า จะได้มาใช้บริการทางวิชาชีพของผม ซึ่งผมให้บริการการประเมินค่าทรัพย์สิน การสำรวจวิจัยและการเป็นที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ถือเป็นการทำการตลาด แบบ Very Soft Marketing เป็นการตลาดทางอ้อม เพื่อให้มีผู้ใช้บริการ ไม่ได้ไปดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการด้วยการพาลูกค้าไป "ตีกอล์ฟ หลุม 19" หรือไม่ได้พาลิ่วล้อลูกน้องไป "เลี้ยงดูปูเสื่อ" แต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นผมก็ไม่ได้เอาสมาคมหรือมูลนิธิไปจัดงานหาเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวแต่อย่างใด
คนดีของสังคมต้องไม่ทำตัวเป็นปลิงดูดเลือกองค์กรของตนเอง
ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1614.htm