ประวัติของรองเท้าดังตอน 6 นันยาง
รองเท้าพื้นสีเขียว
ราวพุทธศักราช 2500 เพียรศักดิ์ ซอโสตถิกุล บุตรชายคนโตของวิชัย ซอโสตถิกุล กลับมาจากประเทศอังกฤษพร้อมกับความรักกีฬา โดยเฉพาะแบดมินตัน จึงต้องการออกแบบและผลิตรองเท้านันยางรุ่นใหม่ ให้เหมาะกับการเล่นแบดมินตัน จึงได้ผลิตรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่ รุ่น 205 S ซึ่งพัฒนามาจากรุ่น 205 แต่มี พื้นสีเขียว ซึ่งนับเป็นสีที่แปลกมากในขณะนั้น ด้วยเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการแบดมินตันไทย ซึ่งภายหลังได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ทำให้รองเท้านันยางรุ่น 205S ที่เพียรศักดิ์ออกแบบ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักแบดฯโดยไม่ได้คาดว่า รองเท้าพื้นเขียวนี้จะไปอยู่ในใจของหมู่นักเรียนไทยในไม่กี่ปีต่อมา
ด้วยความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรอปกับการขยายตลาดของสินค้านันยาง ส่งผลให้บริษัทฯ ตัดสินใจลงทุนขยายและพัฒนาฐานการผลิตไปยังศูนย์การผลิตแห่งใหม่ที่ทันสมัย ห่างจากโรงงานเดิมประมาณ 3 กิโลเมตร (บริเวณเขตบางแคในปัจจุบัน) และก่อตั้งบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัดขึ้น เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512
2522 - 2540 ปรากฏการณ์พื้นเขียว
ด้วยการเติบโตทางธุรกิจ บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด จึงเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัดในพ.ศ. 2522 และ ย้ายสำนักงานขายจากแยกตลาดน้อย มาบริเวณถนนสี่พระยา เขตบางรัก เมื่อปีพ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทฯในปัจจุบัน
ในช่วงแรก “นันยาง พื้นเขียว” จึงเป็นที่นิยมเฉพาะในหมู่คนเล่นแบดมินตัน จนกระทั่งขยายตัวไปยังกลุ่มนักเรียนประถมและมัธยม ทำให้นักเรียนในยุคนั้นรู้จักรองเท้านักเรียนนันยาง และใส่กันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา รองเท้าผ้าใบพื้นเขียวได้รับความนิยมอย่างมาก จนได้รับรางวัล “ผู้ผลิตสินค้าไทยดีเด่น” จากรัฐบาล เมื่อพ.ศ. 2527
รองเท้านันยางพื้นเขียว รุ่น 205-S เป็นที่นิยมอย่างเป็นปรากฏการณ์ของวงการรองเท้าไทย ที่ให้ความนิยมและยอดซื้อได้อย่างต่อเนื่องในกลุ่มนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนชายที่ใส่ทั้งไปโรงเรียน เล่นกีฬา หรือไปเที่ยว โดยมีการปรับดีไซน์เล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับวัยรุ่นในแต่ละยุค แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ คือ การเป็นผ้าใบพื้นเขียวมาอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโลโก้ “Nanyang” บนตัวรองเท้าเพื่อตอกย้ำให้ผู้บริโภคทราบว่าใส่รองเท้านันยางของจริงเท่านั้นในช่วงต้น พ.ศ. 2537
นันยางยังไม่ลืมว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญต่อทรัพยากรบุคคลของประเทศ จึงมีการมอบทุนการศึกษา “บุญสม ซอโสตถิกุล” ให้กับนักเรียนทุกปี ตั้งแต่พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา
2541- ปัจจุบัน
เมื่อก้าวมาสู่ยุคแห่งโลกาภิวัฒน์และการสื่อสาร การแข่งขันทางการตลาดเข้มข้นยิ่งขึ้น กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค นันยางได้เริ่มทำภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2531 รวมทั้งโฆษณา ประชาสัมพันธ์ทางสื่อสิ่งพิมพ์เพิ่มมากขึ้น มีการแลกซื้อของเล่นแปลกๆ ซึ่งเป็นของเล่นที่ไม่มีขายในประเทศไทยในสมัยนั้น และเมื่อระบบอินเตอร์เน็ตกำลังจะมีบทบาทสำคัญในไม่ช้า
นันยางได้เปิดเวปไซต์ www.nanyang.co.th เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารใหม่กับลูกค้าและส่วนงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ในต้นพ.ศ. 2541
พ.ศ. 2542 ปรับปรุงระบบกระจายสินค้า โดยพัฒนาโรงงานแห่งแรกที่ได้ย้ายฐานการผลิตไปแล้ว บริเวณแขวงบางหว้า มาเป็นการศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบคลังสินค้า ขนส่งและการกระจายสินค้าให้ทันสมัย รองรับกับความต้องการของตัวแทนจำหน่ายที่เพิ่มมาขึ้น และกระจายอยู่ทั่วประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้นันยางยังได้กระจายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดและห้างสรรพสินค้ามากขึ้น เริ่มตั้งแต่ เทสโก้ โลตัสใน พ.ศ. 2545 รวมไปถึง เซ็นทรัล โรบินสัน เดอะมอล บิ๊กซี และคาร์ฟูร์ต่อมาภายหลัง
การสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ใช้รองเท้านันยางเป็นไปอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ภาพยนตร์โฆษณา และสื่อต่างๆ ของนันยางหลายเรื่องในยุคนี้เป็นเรื่องราวต่างๆที่เกินขึ้นในโรงเรียน ยังเป็นที่กล่าวขานและประทับใจของคนไทย เช่น เก๋ามาตั้งแต่รุ่นพ่อ, เหยียบส้น เป็นต้น
ในขณะที่โฆษณารองเท้าแตะฟองน้ำนันยาง ชุดบลูด๊อก เป็นตัวแทนจากประเทศไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศ Cresta Award (www.cresta-awards.com) ประเภท Print Advertising และ Outdoor & Ambience Advertising ในปีพ.ศ. 2550 โดยสมาคมโฆษณานานาชาติ (International Advertising Association) ร่วมกับ Creative Standards International
สื่อมวลชนหลายสำนักได้ยกให้นันยางเป็นสินค้าคุณภาพที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนั้น อาทิ นิตยสาร OOM ได้มอบรางวัล Another Design Award 2007 ประเภท Classic Product
“วัสดุธรรมดาๆ ที่ได้รับการออกแบบจนอยู่เหนือกาลเวลา เหมือนกับ Levi’s หรือ Converse ที่ยิ่งใส่ยิ่งเก่า ยิ่งเก่ายิ่งเท่ เรียกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองตลอดอายุการใช้ งาน คุณค่าทางอารมณ์นี้เอง ที่ไปตรงกับความต้องการของกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งอยากเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนฝูง นี่คือจุดเด่นที่ดีไซน์ไทยอย่าง นันยาง สร้างได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง”
ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ Thailand Creative & Design Center (TCDC) กล่าวถึงรองเท้านันยาง ในงานนิทรรศการรองเท้าไทยว่า
“รองเท้าผ้าใบนันยางรุ่นพื้นเขียวคลาสสิกให้เสียงเอี๊ยดอ๊าดยามเดิน เป็นที่นิยมหมู่นักเรียนชายไทยมานานกว่า 50 ปี โดยมักสวมใส่แบบเหยียบส้นให้ดูเก๋า”
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360 รายสัปดาห์ ตีพิมพ์บทความชื่อ “เปิดตำรารบ 3 เรือธงในสมรภูมิเลือด” ที่กล่าวถึงสินค้าอย่าง มาม่า ชาเขียวโออิชิ และรองเท้านักเรียนนันยาง ที่สามารถฝ่ากระแสอุปสรรคต่างๆ และเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นในตลาดตลอดเวลา
“เอกลักษณ์การเป็น 'รองเท้าผ้าใบพื้นเขียว' ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักเรียนชาย จนกลายเป็นต้นแบบที่ทำให้ผู้ผลิตรองเท้ารายอื่น ต้องเพิ่มคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าด้วย จนมีผู้ลอกเลียนแบบสินค้านันยางเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีผู้ผลิตรองเท้าออกสินค้าพื้นเขียวจำนวนมาก แต่ในฐานะที่นันยางเป็นแบรนด์แรกที่ทำการออกแบบรองเท้าผ้าใบรุ่นดังกล่าวและคุณภาพที่ดีกว่า ทำให้นันยางสามารถพูดได้เต็มปากว่าตนเองเป็น 'ต้นตำรับ' ผ้าใบพื้นเขียว ที่กลายเป็นจุดขายและจุดแข็งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้”
พ.ศ. 2553 บริษัท มายด์แชร์ มีเดียเอเยนซี่ผู้นำด้านการตลาดและเครือข่ายสื่อ ได้ศึกษาวิจัยข้อมูลกลุ่มวัยรุ่น วัยระหว่าง 18-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชี้นำเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อดูว่าคนกลุ่มนี้คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ "เจ๋ง" หรือ "เท่" สำหรับพวกเขาบ้าง ภายใต้หัวข้อ "What"s Cool" โดย รองเท้านันยาง เป็นหนึ่งในสินค้าที่ “เจ๋ง” และ “เท่ห์” ของวัยรุ่น เช่นเดียวกับ X-BOX, Ray-Ban, Converse, Apple, You Tube, Mini, Nike, BMW, BlackBerry, สิงห์, แม่โขง, และเสื้อตราห่านคู่ ฯลฯ
การเดินทางที่ผ่านมาบนรองเท้านันยาง ด้วยตระหนักถึงคุณภาพของสินค้า การบริหารและดำเนินธุรกิจด้วยคุณธรรม จากเด็กชายชาวฮกเกี้ยนคนหนึ่ง ถึงพนักงานบริษัทและบริษัทในเครือกว่าหมื่นชีวิต ทำให้บริษัทและสินค้าของบริษัทเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนานและต่อเนื่องกว่าครึ่งศตวรรษ และจะดำเนินต่อไปอย่างก้าวหน้าและมั่นคง
VISION วิสัยทัศน์
สู่ความเป็นผู้นำธุรกิจรองเท้า
อย่างสร้างสรรค์
MISSION พันธกิจ
ผลิตสินค้าคุณภาพ
ค้าขายด้วยคุณธรรม
ประกอบธุรกิจอย่างสร้างสรรค์
หากจะพูดถึงรองเท้าฟองน้ำ และรองเท้าผ้าใบที่มีพื้นสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์
ชื่อแรกที่ทุกคนจะนึกถึง คงเป็นคำอื่นไปไม่ได้นอกจากคำว่า “นันยาง” รวมไปถึงตราสัญลักษณ์ “ช้างดาว” ที่เป็นเครื่องการันตีคุณภาพ ซึ่งอยู่คู่กับเท้าคนไทยมานานกว่า 60 ปี
นันยาง คือ ผู้ผลิตรองเท้าคุณภาพ โดยแรกเริ่มเราสั่งผลิตภัณฑ์นี้ จากประเทศสิงค์โปร์เข้ามาจำหน่าย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2489 ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี.. จากนั้นนายห้างวิชัย ซอโสตถิกุล จึงขอซื้อกรรมวิธี การผลิตจากสิงคโปร์ และก่อตั้งบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 โดยใช้ชื่อ นันยาง “ตราช้างดาว” สำหรับที่มาของคำว่า “นันยาง” นั้นมาจาก “หนำเอี๊ย” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว ซึ่งในภาษาจีนกลางจะออกเสียงว่า “หนันหยาง” แปลว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อมาถึงในบ้านเรา บริษัทฯ จึงเรียกทับศัพท์ภาษาจีนเป็น “นันยาง” ให้เรียกชื่อสินค้าได้ง่าย ดูเป็นคำไทยยิ่งขึ้น และ มีคำที่มีความหมายอยู่ด้วย คือ "ยาง" เพราะเป็นรองเท้าเจ้าแรกและเจ้าเดียวในทวีปเอเซีย ที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติแท้ 100% ทำให้มีคุณภาพดี ทนทานต่อการใช้งาน และสามารถใส่เดินได้มากกว่า 1,000,000 ก้าว
ปัจจุบัน นอกจากนันยางจะเป็นที่นิยมในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปต่างประเทศมากมาย เช่น จีน ลาว กัมพูชา เวียดนาม พม่า บังกลาเทศ ปากีสถาน อินโดนิเซีย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการแปรรูปสินค้าเกษตรไทย และสร้างรายได้กลับเข้าประเทศ
จากความสำเร็จในอดีต สู่ความมั่นคงในปัจจุบัน ก้าวต่อไปของตำนานนันยาง คือการมุ่งมั่น ที่จะเติบโตเป็นผู้นำธุรกิจรองเท้าอย่างแท้จริง เราจะเปลี่ยนมุมมอง และแนวทางการดำเนินธุรกิจ ให้สอดรับกับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ด้วยการผลิตสินค้าคุณภาพ ค้าขายด้วยคุณธรรม ประกอบธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ บนพื้นฐาน การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่ “ศตวรรษนันยาง” อย่างมั่นคง และ เป็น “ตำนาน” ที่ยั่งยืนตลอดไป