เปิดตำนานทหารผี "ยิงไม่เข้า ฆ่าไม่ตาย จำไว้นั่นคือทหารไทย" เสียงร่ำลือในสงครามอินโดจีน เกจิไทยเรียกวิญญาณมาช่วยรบ
เปิดตำนานทหารผี "ยิงไม่เข้า ฆ่าไม่ตาย จำไว้นั่นคือทหารไทย" เสียงร่ำลือในสงครามอินโดจีน เกจิไทยเรียกวิญญาณมาช่วยรบ!!!
ในสงครามเวียตนาม ผบ.ทหารเวียตนามเหนือได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือ เองและฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน "ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า
1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน
2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบหรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้
3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว
4.ถ้า ปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วไม่มีปืนใหญ่หรือนกยักษ์(เครื่อง บิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ........ทหารไทย
ณ ฐานที่มั่นทหารเสือพรานของไทยแห่งหนึ่งที่เวียตนามใต้(จำชื่อฐานไม่ได้) ทหารเวียตนามเหนือพยายามตีฐานนี้หลายสิบครั้งแต่ก็ไม่แตก จึงส่งกองพันกล้าตายที่ 21 ให้มาตีซึ่งเป็นกองพันเดียวของทหารเวียตนามเหนือที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อกองกำลังใดๆ
ทั้งอเมริกันและเวีตนามใต้ และกองพันนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้านความโหดร้ายและการทารุณเชลย
โดยวิธีลูเรต (ใส่กระสุนหนึ่งนัดในลูกโม่แล้วผลัดกันยิง) จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่ว
เช้าวันหนึ่งอากาศแจ่มใส ทหารเวียตานามเหนือกองพันกล้าตายที่ 21 จำนวน 600 นาย
ได้เข้าตีฐานที่มั่นทหารไทยโดยทหารไทยมิได้ตั้งตัว ทหารไทยมีกำลังเพียง 150 นาย
เห็นได้ชัดว่าถูกรุมแบบ 5 ต่อ 1 ปะทะกันนานกว่า 1 ชั่วโมงทหารเวียตนามเหนือแตกพ่ายไป
ผลจากการสู้รบฝ่ายข้าศึกตาย 453 ศพและบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถหนีได้ 16 นาย ฝ่ายเราตายเพียง 1 ศพและบาดเจ็บเล็กน้อย 5 นาย
การปะทะครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว จน ผบ.ทหารเวียตนามใต้และทหารอเมริกันประกาศทางวิทยุสดุดีวีรกรรมของทหารไทย
ครั้งนี้ 1 อาทิตย์ต่อมาผู้บังคับกองพันกล้าตายที่ 21 ของเวียตนามยิงตัวตายในบังเกอร์เพื่อหนีความอับอาย ส่วนทางด้าน
นายทหารเสือพรานไทยได้รับเหรียญกล้าหาญ 35 คน
เราคนรุ่นหลังขอน้อมคารวะทหารกล้าไทยที่ปกปักรักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ทุกวันนี้
เรื่องราวเหล่าแด่ท่านผู้ชนะเหล่าชนเสือ พรานไทยนักรบชุดดำ
ทหารไทย ในยุคสงคราอินโดจีน ได้แสดงให้ทหารฝรั่งเห็นปาฏิหาริย์ ในหลายสมรภูมิ
ตัวอย่างหนึ่ง ผมขอคัดบทความจาก อ.วารุณี พิทักษ์สินากร หนังสือพิมพ์ เสรีชัย L.A. USA มาเล่าสู่กันฟัง นะครับ
อยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร
เวทมนตร์..คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว
เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลังเคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้วจากสงครามอินโดจีนที่ กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง
พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธีฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน
ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่งไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็กหรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว
ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาลหรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาวจากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ
พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว
ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น
เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่าง สะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด
มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ ได้ระงับไม่อยู่ ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิด มีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวง มาจากทุกสารทิศที่..ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อ เนื่อง กับยังปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหาร กล้าก็เถอะ
เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่ บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ
การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้าแล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย
หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับพลตรี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลอง ความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที
เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผีอันนี้พิสูจน์ กันชัดๆอีกอย่างของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่
การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุก เสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน
เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้าขา ไหล่แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง “คุณดาลินี” หรือพลังปราณนั่นเอง
หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงานแล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น สูตร โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา “เรยูกูระบัด”ประกอบกับวิชา “อิลละมู” หรือใช้วิชา “สังกะลัม” ประกอบกันสองอัน หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง
ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผีเพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยงคงกระพัน
ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลยเพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่าแน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่าเรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความ..เหนียวแบบไร้เทียมทานหรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น คือ
เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง..ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อหรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ๊ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่
หลวงพ่อ ชวน (โอภาสี)
หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพังจ
หลวงพ่อจาด
และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก
credit: