ความลับของหน้าไพ่
มนุษย์เราคุ้นเคยกับการพนันขันต่อมาอย่างช้านาน และการเล่นไพ่ก็ดูเหมือนจะเป็นเกมพนันที่ผู้คนนิยมเล่นกันมากที่สุดเกมหนึ่ง ด้วยความที่มันสามารถพลิกแพลงเกมการเล่นไปได้หลากหลาย ซึ่งนอกเหนือจากการใช้ไพ่ในการเล่นพนันแล้วนั้น ก็ยังถือว่าการเล่นไพ่เป็นการผ่อนคลายที่ดี ช่วยบริหารสมอง รวมถึงยังสามารถใช้ไพ่ในการทำนายทายทักดวงชะตาได้อีกด้วย
.
หากสืบค้นประวัติของไพ่ก็อาจกล่าวได้ว่า แต่ละประเทศก็มีความเป็นมาของมันเอง แต่หากจะให้มีข้อมูลหลักฐานยืนยันถึงการมีอยู่ของไพ่ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันก็อาจย้อนกลับไปได้ในช่วงศตวรรษที่ 11 ในช่วงที่ยุโรปเป็นศูนย์กลางของโลก ที่เหล่าพ่อค้าวาณิชจะเดินเรือมาค้าขายผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แม้ไม่อาจทราบว่าไพ่จะถูกนำเข้าหรือดัดแปลงมาจากชาวยิปซี ชาวจีน หรือนักบวชอิสลามที่เข้ามาในยุโรปหรือไม่ แต่ในราชสำนักยุโรปก็นิยมเล่นไพ่กันแล้วในช่วงศตวรรษที่ 12
.
หน้าไพ่มักถูกดัดแปลงไปตามคติความเชื่อของรายละเอียดในแต่ละประเทศนั้นๆ แต่กับหลักการไพ่ 52 ใบในสำรับ และการมีหน้าไพ่ 4 หน้า (ข้าวหลาม ดอกจิก โพธิ์แดง โพธิ์ดำ) ก็มีหลักปรัชญาซ่อนอยู่ในนั้นอย่างไม่เปลี่ยนแปลง หน้าไพ่แต่ละชนิดแฝงไว้ด้วยคติความเชื่อทางการทหาร ยกตัวอย่างง่ายๆ จากคำว่า คิง ควีน หรือแจ๊ค ที่เป็นชื่อเรียกไพ่อีเต๊ะเป็นต้น หน้าไพ่แต่ละดอกก็หมายถึงอาวุธที่ใช้ในสงครามด้วยเช่นกัน ซึ่งหากจะมองตามเช่นนั้นก็เห็นในความเป็นไปได้อยู่ คือ ดอกจิกเป็นตัวแทนของดาบ โพธิ์แดงที่เหมือนหัวใจกลับเป็นคันธนูที่ง้างสายเต็มเหยียดเพื่อยิงศัตรูฝ่ายตรงข้าม โพธิ์ดำคือพลั่วที่เอาไว้ขุดหลุมสนามเพลาะ และข้าวหลามตัดก็คือตัวแทนของปลายหอกทหารราบนั่นเอง
.
จำนวนตัวเลข 52 ใบของไพ่ในสำรับเป็นตัวแทนของระยะเวลา 52 สัปดาห์ในหนึ่งปี หน้าไพ่ 4 หน้าหมายถึง 4 ฤดูกาล (ร้อน หนาว ใบไม่ร่วง ใบไม้ผลิ) หรือธาตูในธรรมชาติทั้ง 4 ธาตุ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) สีแดงกับสีดำเป็นตัวแทนของกลางวันกับกลางคืน ส่วนจำนวน 365 วันต่อหนึ่งปีนั้น ให้คิดด้วยการใช้จำนวนตัวเลขทั้งหมดบนหน้าไพ่ 40 ใบที่รวมกันได้ (220) มาบวกกับจำนวนไพ่อีเต๊ะในสำหรับ (12) ใบ แทนค่าไพ่อีเต๊ะแต่ละใบด้วยจำนวน (10) บวกกับจำนวนไพ่ในแต่ละหน้าคือ (13) ก็จะเป็น 220+12+120+13=365 พอดี
.
และนี่ก็คือหลักปรัชญาของไพ่ที่เกี่ยวพันกับการออกแบบของมันที่เรานำมาฝากกัน