หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

คู่ศึกสะท้านโลก แอสเท็คปะทะซูลู

โพสท์โดย Joytotheworld

จะเป็นอย่างไร หากผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มาเผชิญหน้ากัน ด้วยแสนยานุภาพที่เกรียงไกรของทั้งสองฝ่าย สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเรียกได้ว่า เป็นมหาศึกสะท้านโลก และต่อไปนี่คือการสร้างสถานการณ์สมมติว่า หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น ผู้ใด ที่น่าจะคว้าชัย
จักรวรรดิซูลู (Zulu Empire)

เป็นราชอาณาจักรของชนเผ่าซูลู อยู่ในดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปอาฟริกา ตั้งขึ้นใน ปี ค.ศ.1816 โดย กษัตริย์ ซาก้า แห่งเผ่าซูลู ซึ่งเป็นหนึ่งในชนเผ่าของกลุ่มเชื้อชาติพันธุ์พื้นเมืองที่พูดภาษาโงนิ ในปี ค.ศ.1821 จักรวรรดิซูลูมีอาณาเขตควบคุมการปกครอง 30,000 ตารางกิโลเมตร โดยมีเมืองหลวงแห่งแรกอยู่ที่กวาบูลาวาโย ก่อนย้ายมาที่ อุมกุนกูเอนดโลวู และอูลุนดี ตามลำดับ แม้จะเป็นชาวป่า แต่พวกซูลูมีระบบกองทัพที่เข้มแข็งและมีวินัยสูง ทั้งยังชำนาญการรบ โดยในยุครุ่งเรืองที่สุด คือปี ค.ศ.1826 จักรวรรดิซูลูมีเขตอิทธิพลที่แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่เกือบสามแสนตารางกิโลเมตร และมีอำนาจเหนือชนพื้นเมืองแทบทุกเผ่าทางตอนใต้ของทวีปอาฟริกาในช่วงแรกของศตวรรษที่ 19 จนมาถึง ปี ค.ศ. 1887 จักรวรรดิซูลูขัดแย้งกับอังกฤษจนเกิดเป็นสงคราม โดยกองทัพอังกฤษต้องใช้ทหารติดอาวุธปืนไรเฟิลเกือบหมื่นนาย พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ จึงสามารถทำลายกองทัพซูลูและยึดเมืองหลวงอูลุนดี ปิดฉากจักรวรรดิแห่งนี้ลงได้

จักรวรรดิแอสเท็ค (Aztecs Empire)

มีจุดเริ่มต้นจากนครรัฐของชาวอินเดียนแดงเชื้อสายนาฮัวสามนคร คือ เทนอคทิตลาน เท็กซ์โคโค และ ทลาโคปัน ทั้งสามนคร ได้จับมือเป็นพันธมิตรและก่อตั้งจักรวรรดิแอสเท็ค ขึ้นใน ปี ค.ศ.1428 และทำสงครามขยายดินแดนครอบคลุมอาณาเขตที่ส่วนใหญ่คือประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน โดยจักรวรรดิแอสเท็คมีอำนาจเหนือนครรัฐของชนอินดียนกลุ่มอื่นๆ ซึ่งครอบคลุมเนื้อที่ 304,325 ตารางกิโลเมตร ชาวแอสเท็คมีอารยธรรมที่รุ่งเรือง โดยมีการสร้างสิ่งก่อสร้าง อย่างวิหารและพีระมิด พวกเขามีพิธีบูชายัญที่น่าสยดสยองโดยใช้เชลยสงครามและประชาชนจากดินแดนใต้ปกครองมมาสังหารด้วยวิธีการต่างๆเพื่อบุชาเทพเจ้า

จักรวรรดิแอสเท็คครอง อำนาจเหนือชนอินเดียนเผ่าต่างๆในอเมริกากลาง จนถึง ปีค.ศ. 1521 ก็ถูกแม่ทัพสเปนนาม เฮอนัน คอร์เตส นำกองทหารสเปน เข้ารุกราน โดยร่วมกับนครรัฐที่เคยเป็นเมืองขึ้นของแอสเท็คแต่ต้องการปลดแอกตัวเองและนำกองทหารมาสมทบกับชาวสเปน โดยทัพของคอเตสซึ่งมีทหารสเปน 630 นายและนักรบพื้นเมือง ราว 5,000 คน ได้เอาชนะกองทัพแอสเท็คที่มีกำลังพลหนึ่งแสนนาย และเข้ายึดนครเทนอคนิตลานเมืองหลวงของแอสเท็คที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบเม็กซิโก จากนั้นจักรวรรดิแอสเท็คก็ล่มสลายลง

กษัตริย์ ชาก้า

เป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิซูลู เป็นนักรบที่โหดเหี้ยม ดุดัน เชี่ยวชาญในการต่อสู้และการวางแผนการรบ โดยทรงมีคติพจน์ในการทำศึกว่า ต้องทำลายล้างข้าศึกให้ถึงที่สุดเพื่อมิให้มีกลับมาเป็นศัตรูได้อีก อย่างไรก็ตาม พระองค์ชื่นชมในผู้กล้าหาญไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดหรือฝ่ายใด

ชาก้า ซูลู ทรงเฉลียวฉลาดในการปกครองและมีวิสัยทัศน์ยาวไกลในการผูกมิตรกับชนผิวขาว แต่เดิมพระองค์เป็นลูกนอกสมรสของหัวหน้าเผ่าซูลู ในวัยเด็กถูกรังแกและกลั่นแกล้งจนทำให้เติบโตเป็นคนที่เก็บกด แข็งกร้าว ดุดัน ต่อมา ได้เป็นขุนศึกในสังกัดของกษัตริย์ดิงกิสวาโยแห่งเผ่าอุมเตตวา และสร้างความชอบในการรบจนเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ จากนั้นจึงได้รับการสนับสนุนจากดิงกิสวาโยให้มาปกครองเผ่าซูลู

ชาก้าพัฒนาเทคนิคการรบใหม่ๆเช่นการสร้างหอกสั้นใบกว้างสำหรับแทงระยะประชิด แทนการใช้หอกขว้างและมีด จัดขบวนทัพแบบเขาวัวในการเข้าโจมตี พระองค์ได้รวบรวมชนเชื้อสายงูนิเผ่าต่างๆ รวมทั้งชนเผ่าอื่นๆรอบข้าง รวมเป็นจักรวรรดิซูลู ชาก้าทรงนำทัพพิชิตดินแดนกว้างไกล และแผ่อิทธิพลครอบคลุมพื้นที่หลายแสนตารางไมล์ นอกจากนี้หลังสิ้นพระชนม์ ขุนศึกของพระองค์หลายคนที่แยกตัวไปจากจักรวรรดิก็ได้สร้างอาณาจักรของตนเอง ซึ่งครอบคลุมดินแดนกว่าครึ่งล้านตารางกิโลเมตร ทว่าแม้จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ก็ทรงมีอารมณ์รุนแรงและโมโหร้าย ซึ่งจะแสดงออกมาในสถานการณ์ที่สะเทือนใจอย่างรุนแรง ดังเช่นในเหตุการณ์ที่พระนางนานดิ พระมารดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ กษัตริย์ชาก้า ทรงเศร้าโศกมากจนคลุ้มคลั่งและสั่งประหารคนกว่าเจ็ดพัน คน ด้วยข้อหาที่พวกนั้นไม่ได้ร้องไห้ในงานฝังพระศพพระมารดา เหตุการณ์นั้นสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนและทำให้อนุชาทั้งสองของพระองค์คือ ดินกาน และ อัมฮลันกานา วางแผนลอบปลงพระชนม์ โดยกษัตริย์ชาก้าถูกทั้งสองลอบแทงจนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ.1828

จักรพรรดิ มอคเตซูม่า ที่สอง

ทรงเป็นจักรพรรดิองค์ที่เก้าของจักรวรรดิแอสเท็ค รัชสมัยของพระองค์เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1502 และสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1520 ในรัชสมัยของพระองค์นี้ เป็นครั้งแรกที่ชาวยุโรปได้ทำการติดต่อกับชาวเมโสอเมริกา(อเมริกากลาง)

ในรัชสมัยของจักรพรรดิมอคเตซูมา ที่สอง จักรวรรดิแอสเท็คได้ทำสงครามแผ่แสนยานุภาพจนมีอาณาเขตกว้างขวางที่สุด โดยผนวกนครรัฐของเผ่าต่างๆเช่น ซาโปเทค โยปี โซโคนอสโก เข้าในจักรวรรดิ มอคเตซูมาได้ปฏิรูประบบราชการ โดยกำหนดให้เฉพาะชนเชื้อสายขุนนางเท่านั้นที่มีสิทธิรับราชการในราชสำนัก

แม้จะเข้มแข็งในการศึก แต่มอคเตซูมา ก็พ่ายแพ้ต่อการรุกรานของสเปน เนื่องจากคำทำนายเก่าแก่ของแอสเท็คที่ว่า จอมเทพจะเสด็จมาในแพไม้และนำสันติสุขมาสู่แผ่นดิน ทำให้พระองค์ต้อนรับคณะของคอเตส ที่เดินทางมาด้วยเรือ(หรือที่พวกแอสเท็คเข้าใจว่า เป็นแพไม้ขนาดยักษ์)เป็นอย่างดี โดยให้เข้าพำนักในพระราชวัง

และแม้ว่าไม่นาน พระองค์จะเริ่มเคลือบแคลงสงสัยในผู้มาใหม่ แต่สุดท้าย ก็ทรงเสียที ถูกพวกสเปนจับเป็นตัวประกัน เพื่อไม่ให้พลเมืองก่อความวุ่นวาย ทว่าสุดท้าย จักรพรรดิมอคเตซูมาที่สอง ก็เสียชีวิตลง โดยบางตำรากล่าวว่า พระองค์ถูกคอเตสสั่งประหารชีวิตหลังให้พระองค์เข้ารีตเป็นคริสเตียนแล้ว แต่บางตำราก็เล่าว่า คอเตสนำพระองค์ออกมาเจรจากับฝูงชนที่กำลังคลุ้มคลั่ง ก่อจลาจล ทว่าไม่มีใครยอมฟังพระองค์ และมีหินก้อนหนึ่งพุ่งมาอย่างแรง กระแทกพระนลาฏ(หน้าผาก) ทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ ซึ่งตำราที่สองนี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป

หลังการสิ้นพระชนม์ของมอคเตซุมา คอเตสและพวกสเปนได้ลอบหนีออกจากนครเตนอคทิตลาน ทว่าไม่นาน คอเตสและทหารสเปนก็กลับมาพร้อมกองหนุนชนพื้นเมือง เพื่อเข้าโจมตีจักรวรรดิแอสเท็ค และทำลายจักรวรรดินี้จนพินาศสิ้น

กองทหาร

นักรบซูลู

นักรบซูลูใช้หอกด้ามสั้นใบกว้าง เรียกว่า อิกสวา สำหรับแทงในระยะประชิด และมีกระบองสำหรับตี พวกเขาไม่สวมเกราะ แต่ใช้โล่หนังวัวรูปวงรีขนาดใหญ่เป็นเครื่องป้องกันอาวุธ โดยที่โล่จะระบายสี ดำขาว ซึ่งสีบนโล่จะระบุถึงสังกัดและระดับขั้นในการรบ นอกจากนี้ยังมีหอกซัดที่เรียกว่า อัสเซไก สำหรับพุ่งใส่ระยะไกล นักรบซูลูไม่สวมรองเท้าและวิ่งได้เร็วมาก พวกเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วคล่องแคล่วในสนามรบ พวกเขาไม่มีเสื้อเกราะใส่ ส่วนหมวกที่สวม ก็เป็นเครื่องประดับทำจากขนนก ไม่ใช่เครื่องป้องกันศีรษะ

หอกอิกสวา

กลยุทธ์ที่กองทัพซูลูใช้ในการรบ นอกจากกลยุทธ์ทั่วไป เช่นการหลอกล่อให้ติดตาม การซุ่มโจมตีแล้ว ยังมีกลศึกสำคัญ คือ รูปขบวนวัว โดยมีปีกซ้าย ขวาเป็นเขา กองกลางแนวแรกคือหัว แนวที่สองคือ ส่วนอก ในเวลาเข้ารบ ส่วนหัวจะเข้าปะทะเพื่อดึงกำลังทัพข้าศึกให้เข้าตี จากนั้น เมื่อการรบติดพัน ส่วนเขาวัวจะโอบเข้ามาทั้งสองข้าง เพื่อปิด ล้อม ก่อนที่ส่วนอกจะเข้าหนุนเพื่อบดขยี้ ยุทธวิธีนี้จะทำให้ทัพข้าศึกถูกล้อมรอบด้านและถูกเบียดอยู่ตรงกลาง แม้จะมีกำลังมากกว่าก็ไม่อาจทำการรบได้ถนัด ขณะที่พวกซูลูจะโจมตีจากรอบนอกเข้าไป ทำให้สามารถสังหารข้าศึกได้มาก โดยอีกฝ่ายไม่สามารถตอบโต้ได้ถนัด

ขบวนทัพซูลู

นักรบซูลูแบ่งเป็นหน่วยเรียกว่า อิมปี แต่ละอิมปี มีนักรบตั้งแต่หนึ่งพันถึงสามพันคน ชายทุกคนในอาณาจักรที่มีอายุตั้งแต่ สิบหกปีขึ้นไป จะถูกส่งเข้าค่ายฝึก และแยกเป็นหน่วย โดยจะมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงาน จนกว่าจะปลดประจำการเป็นกองหนุน ซึ่งนักรบจะปลดประจำการได้ ต่อเมื่อสร้างความชอบในการศึกมากพอจนได้รับอนุญาตให้ปลดประจำการจากกษัตริย์ทั้งนี้ประมาณการว่า กองทัพซูลู มีกำลังพลทั้งอาณาจักรราวสี่ถึงห้าหมื่นคน

ในการเคลื่อนทัพ แต่ละอิมปีจะมีหน่วยส่งกำลังบำรุง ที่เรียกว่า อูดีบิ ซึ่งเป็นเด็กชายอายุสิบสามถึงสิบห้าปี โดยอูดีบีหนึ่งคนจะแบกเสบียงแห้ง น้ำดื่ม ผ้าห่มนอน และอาวุธสำรอง สำหรับนักรบสามถึงสี่คน เสบียงของนักรบประกอบด้วยอาหารแห้ง ทำจากข้าวโพดแห้งบดผสมน้ำแล้วทำเป็นแผ่น ปิ้งจนสุก เรียกว่า โกตา นอกจากนี้จะมีการต้อนฝูงวัวและแพะติดตามกองทัพ เพื่อใช้เนื้อและนมเป็นเสบียงด้วย

กองทัพซูลู มีเด็กอูดีบิ ขนสัมภาระ

นักรบซูลูมีระเบียบวินัยดีเยี่ยม แม้เมื่อเทียบกับกองทหารของชนชาติที่เจริญกว่า นอกจากนี้ยังดุดัน เหี้ยมหาญ ไม่กลัวตาย ในการยุทธที่ไอแซนดฺ์ลวานา ในอาฟริกาใต้ นักรบซูลูสี่พันกว่าคน ได้บดขยี้กองทหารอังกฤษที่มีกำลังเกือบสองพันนาย พร้อมอาวุธทันสมัยทั้งปืนไรเฟิล ปืนกล ปืนใหญ่ จนย่อยยับ เหลือกำลังไม่ถึงสองร้อยนาย

นักรบแอสเท็ค

นักรบ และอัศวินแอสเท็ค

นักรบแอสเท็คมีหลายระดับชั้น แต่แบ่งรวม ๆ ได้เป็นสองกลุ่ม คือ อัศวิน และ นักรบทั่วไป

อัศวินแอสเท็ค มาจากนักรบที่มีเชื้อสายขุนนางซึ่งจะเข้าร่วมกับสมาคมนักรบที่ใช้สัญลักษณ์และแต่งกายเลียนแบบสัตว์นักล่า เช่น เสือจาร์กัว และนกอินทรี ในกรณีของนักรบธรรมดาหากสามารถจับเชลยได้สี่คนขึ้นไป ก็มีสิทธิเข้าร่วมสมาคมได้ พวกอัศวินจะมีสำนักของตนเองและได้รับการฝึกฝนอาวุธอย่างต่อเนื่อง พวกเขาไม่ได้สวมเกราะแบบอัศวินยุโรป แต่ชุดที่สวมทำจากหนังสัตว์และมีเกราะทำจากผ้าฝ้ายยัดด้วยหินเกลือ สวมหมวกทำจากไม้เนื้อแข็งแกะสลักเป็นหัวสัตว์สัญลักษณ์ของสมาคม ถือโล่ไม้ประดับขนนก ป้องกันตัว ส่วนพวกนักรบธรรมดาทั่วไป จะเป็นพลเมืองที่ถูกเกณฑ์เข้าร่วมกองทัพในยามมีสงคราม ส่วนในยามไม่มีสงคราม จะถูกปลดประจำการเป็นประชาชนทั่วไป นักรบธรรมดา ส่วนมากไม่สวมเสื้อ มีเพียงโล่ไม้สำหรับป้องกันตัว สำหรับอาวุธที่นักรบแอสเท็คใช้ จะประกอบด้วย หอก ดาบและกระบอง กับธนู สลิงยิงลูกหินและหอกซัด

อัศวินนกอินทรี

ชาวแอสเท็คไม่รู้จักเทคโนโลยีการสร้างเครื่องเหล็ก แต่ใช้หินออบซิเดียน หรือ หินแก้วภูเขาไฟทำอาวุธ เช่นใบหอก หัวธนู ส่วนดาบจะทำจากไม้เนื้อแข็ง มีลักษณะแบนยาวและติดแผ่นหินคมไว้ทั้งสองด้าน ดาบเหล่านี้คมมากขนาดตัดคอม้าได้ด้วยการฟันครั้งเดียว ส่วนเสื้อเกราะที่ทำจากผ้าฝ้ายยัดแผ่นหินเกลือของพวกเขา สามารถป้องกันธนู และอาวุธต่างๆ แม้แต่กระทั่งกระสุนจากปืนคาบศิลาได้

อัศวินจาร์กัวถือดาบแอสเท็ค

กองทัพแอสเท็คไม่เน้นสังหารศัตรูในการรบ แต่มุ่งจับเชลย เพื่อนำมาบูชายัญ ดังนั้น อาวุธที่ใช้จึงมักทำให้ศัตรูสลบหรือบาดเจ็บ เพื่อให้ถูกจับเป็นเชลย ซึ่งในแต่ละปี จักรพรรดิแอสเท็คจะบูชายัญเชลยศึกทั้งชายหญิงนับพันคน ในเทศกาลต่างๆ โดยเชลยจะถูกนำขึ้นไปยังแท่นพิธีบนยอดพีระมิดและใช้มีดหินกรีดอก ควักหัวใจออกมา จากนั้น จะตัดศีรษะและโยนศพลงมา บางครั้ง ชนชั้นสูงอาจนำชิ้นส่วนของเหยื่อบูชายัญมารับประทาน

กลยุทธ์ในการศึกของแอสเท็ค คล้ายกลยุทธ์ของนักรบพื้นเมืองทั่วไป เช่นการยกเข้าประจัญบานซึ่งหน้า การล่อให้ศัตรูไล่ตาม การดักซุ่มโจมตี ซึ่งพวกแอสเท็คมีความเชี่ยวชาญในการซุ่มซ่อนโจมตี เป็นอย่างดี

เปิดศึก

กษัตริย์ชาก้านำนักรบซูลู สิบอิมปีขนาดใหญ่ โดยมีนักรบรวมสามหมื่นนาเข้าประชิดพรมแดนแอสเท็ค(นี่เป็นสถานการณ์สมมติ กรุณามองข้ามความเป็นจริงที่ว่า ทั้งสองฝ่ายอยู่กันคนละทวีป) ซึ่งเมื่อจักรพรรดิมอคเตซูม่าทรงทราบข่าว ก็ทรงนำทัพอันประกอบด้วยอัศวินสี่พัน และนักรบอีกห้าหมื่น ออกจากเตนอคทิตลาน เคลื่อนขบวนผ่านป่าทึบ เพื่อสกัดทัพซูลู โดยส่งทหารลาดตระเวนสามร้อยนายไปหยั่งเชิง

ชาก้าส่งนักรบซูลูหนึ่งร้อยนายเคลื่อนเข้ามาในป่า เพื่อสำรวจลู่ทางโจมตีก่อน ทว่านักรบแอสเท็คสามร้อยที่ชำนาญพื้นที่ในป่าได้ซุ่มโจมตี ด้วยธนู ก่อนเข้าล้อมบดขยี้ ด้วยกำลังที่เหนือกว่า แม้กระนั้นพวกซูลูก็ปักหลักต่อสู้จนสุดกำลัง ก่อนจะล่าถอยมาด้วยกำลังเพียงยี่สิบนาย ขณะพวกแอสเท็คจับเชลยซูลูที่บาดเจ็บได้สามสิบคนและเชลยทั้งหมดถูกนำมาผ่าอกควักหัวใจเพื่อสังเวยแด่เทพเจ้า

เมื่อชาก้าทรงทราบว่าข้าศึกมีกำลังมากกว่า จึงให้ถอยทัพปักหลักนอกแนวป่า เปลี่ยนกลยุทธจากโจมตีเป็นตั้งรับ และจัดทัพเป็นขบวนประชิด พร้อมแยกกำลังอีกสองส่วนเคลื่อนห่างออกไป เป็นปีกซ้ายขวา โดยให้ซุ่มซ่อนอยู่ในพงหญ้าไกลออกไปถึงสองไมล์ และเมื่อมอคเตซูมาทรงนำทัพมาถึงชายป่า ก็เห็นว่าข้าศึกมีกำลังน้อย จึงให้ยกทัพเข้าโอบล้อมตี โดยทรงมั่นพระทัยว่า หลังศึกนี้ จะได้เชลยนำไปบูชายัญเทพเจ้าอีกหลายพันคน

อัศวินแอสเท็คเป็นแนวหน้าโห่ร้องและเข้าบุกโจมตีทัพซูลูที่ตั้งแนวโล่ประชิดเป็นขบวนทัพอยู่กลางทุ่ง นักรบแอสเท็คยิงธนูและพุ่งหลาวเข้าใส่นักรบซูลู ทว่าโล่หนังขนาดใหญ่ที่เหนียวและแข็ง สามารถป้องกันฝ่ายซูลูจากคมธนู ลูกหินและหลาวได้ ขณะเดียวกัน นักรบซุลูก็พุ่งหอกซัดเข้าใส่นักรบแอสเท็ค แต่โล่ของแอสเท็คก็ช่วยป้องกันอันตรายเอาไว้ได้เช่นกัน ก่อนที่นักรบทั้งสองฝ่ายจะเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด

แม้นักรบซูลูจะใช้ใบหอกทำจากเหล็ก ทว่าดาบและหอกหินแก้วภูเขาไฟของแอสเท็คก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน นอกจากนี้เสื้อเกราะที่พวกอัศวินแอสเท็คสวมอยู่ ก็สามารถกันอันตรายจากคมหอกได้ระดับหนึ่ง เหล่าอัศวินแอสเท็คเข้าเป็นแนวหน้าในการปะทะกับฝ่ายซูลู โดยมีนักรบธรรมดาเป็นกองหนุน ความแข็งแกร่งของพวกอัศวินสมทบด้วยจำนวนที่เหนือกว่าหลายเท่าของนักรบสามัญ ทำให้แอสเท็คเป็นฝ่ายได้เปรียบและเข้าโอบล้อมกองทัพซูลูอย่างช้า ๆ

ทันใดนั้นเอง ปีกซ้ายขวาของซูลูก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้วยฝีเท้าที่ปานลมพัด ทำให้กองทัพแอสเท็คถูกกระหนาบจากซ้ายและขวา ปีกหรือเขาทั้งสองของขบวนทัพรูปหัววัวของซูลูโอบล้อมทัพแอสเท็คไว้ หอกอิกสวาดื่มเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า นักรบแอสเท็คถูกล้อมจนแออัดเบียดเสียดกันเป็นกลุ่ม และถูกพวกซูลูสังหารจากรอบนอก ทั้งนี้ จุดต่างของทั้งสองฝ่ายในการรบ คือนักรบซูลูมีจุดมุ่งหมายเพื่อสังหาร ขณะที่พวกแอสเท็คมุ่งหมายจับเชลยมากกว่าสังหาร ทำให้เมื่อการรบตะลุมบอนยืดเยื้อ ความสูญเสียของแอสเท็คยิ่งมากกว่าหลายเท่า นักรบหลายหมื่นถูกสังหาร จนโลหิตอาบทั่วท้องทุ่ง นักรบที่เหลือแหวกวงล้อมออกมา โดยพลธนูแอสเท็ค ได้ยิงสกัดการติดตามของพวกซูลู ทำให้กำลังพลที่เหลือเพียงหนึ่งในสี่ สามารถถอยร่นเข้าไปในป่าทึบได้

เมื่อ ชาก้าเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้รวมพล หยุดการติดตาม โดยหลังการรบ สิ้นสุดลง กองทัพซูลูก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ

ผลการรบ ซูลู เป็นฝ่ายชนะ

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Joytotheworld's profile


โพสท์โดย: Joytotheworld
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
16 VOTES (4/5 จาก 4 คน)
VOTED: Darius, zerotype, Tabebuia, ชิวชิว
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ดราม่าอีก ฟอร์ด แฟนเก่า แพรรี่ ไพรวัลย์ โพสต์ตัดพ้อสวยตาแตก ! "โอปอล์ สุชาตา" เฉิดฉายในชุดไทยสิริพัสตราศิวาลัย สะท้อนความงามแห่งศิลปะไทยกฤษอนงค์ มีหลักฐานสู้คดี เงิน 20 ล้านบาทพระเอกดังถูกแฉนอกใจภรรยา หลังร่วมงานละครเวทีบรอดเวย์อย่าเพิ่งเชื่อว่าหนุ่มจีนตัวสูง จนกว่าเขาจะถอดรองเท้า 😁ทะเลสาบน้ำจืดที่มีชื่อเสียงระดับโลก ด้วยน้ำที่ใสสะอาดจนเหมือนกระจกอิมาน เคลีฟ เตรียมฟ้องนักข่าวชาวฝรั่งเศสเบคกิ้งโซดา กับ 15 ประโยชน์ที่ต้องมีติดบ้านรวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ วันที่ใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้วจ้า อีกวันเดียวเองหลังปาร์ตี้ขึ้นบ้านใหม่ ภรรยาพบว่าสามีพยายามลบคลิปในกล้องวงจรปิด เหตุซั่มกับเพื่อนของเธอย้อนดูคลังรถ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" 50 คัน แต่ละคันไม่ธรรมดา! คนขอซื้อ 14 ล้านยังไม่ขายยูเครนสังหารนายทหารระดับสูงกองทัพเรือรัสเซีย ด้วยระเบิดแสวงเครื่อง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ยูเครนสังหารนายทหารระดับสูงกองทัพเรือรัสเซีย ด้วยระเบิดแสวงเครื่องทะเลสาบน้ำจืดที่มีชื่อเสียงระดับโลก ด้วยน้ำที่ใสสะอาดจนเหมือนกระจกดราม่าอีก ฟอร์ด แฟนเก่า แพรรี่ ไพรวัลย์ โพสต์ตัดพ้อกฤษอนงค์ มีหลักฐานสู้คดี เงิน 20 ล้านบาทอิมาน เคลีฟ เตรียมฟ้องนักข่าวชาวฝรั่งเศส"ความยิ่งใหญ่ของนักรบอังกอร์โบราณแห่งกัมพูชา : ชุดเกราะที่สะท้อนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม"
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
เบคกิ้งโซดา กับ 15 ประโยชน์ที่ต้องมีติดบ้านป้อมปราการ Kronshlot : ป้อมปราการทรงห้าเหลี่ยมที่ยืนยงเหนือกาลเวลา"ย่าง" อาหารอย่างไร?? ให้ปลอดภัย14 พฤศจิกายน 2457 : ก้าวแรกแห่ง "การประปาในสยาม" – น้ำสะอาดสู่นครหลวง
ตั้งกระทู้ใหม่